The Coming Glory of the Temple

Sermon  •  Submitted
0 ratings
· 258 views
Notes
Transcript
Sermon Tone Analysis
A
D
F
J
S
Emotion
A
C
T
Language
O
C
E
A
E
Social
View more →

The Coming Glory of the Temple

พระเจ้าสถิตกับท่าน (และสถิตกับท่านด้วย)
ให้เราร่วมใจกันอธิษฐานครับ พระบิดา พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ ขอบคุณพระองค์สำหรับการดีที่ทรงเริ่มต้นในชีวิตของลูก พระองค์ผู้ทรงสัตย์ซื่อ จะทรงเป็นผู้ที่กระทำให้สำเร็จ ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผย น้ำพระทัยของพระองค์ในชีวิตของลูกผ่านคำเทศนา พระคำของพระองค์ ทรงเปลี่ยนใจลูกให้ ถ่อมสุภาพ เปลี่ยนใจที่แข็งกระด้าง ให้เป็นใจที่ยินดีรับการเปลี่ยนแปลง ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ลูกอธิษฐานทั้งสิ้นในพระนามพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
วันนี้เราอยู่ในสัปดาห์ที่สอง ของการเทศนาในพระธรรมฮักกัย สำหรับสมาชิกที่มีพระคัมภีร์อยู่ตอนนี้ เปิดพระธรรมฮักกัย หายากมั้ยครับ อันนี้เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคนที่ยังนำพระคัมภีร์เป็นเล่มมานะครับ เพราะสำหรับคนที่เปิดจากแอปในมือถือ ก็จะไม่มีประสบการณ์ตอนเอานิ้วมือกรีดไปตามแผ่นกระดาษบางๆ
พระธรรมฮักกัยเป็นหนังสือเล่มสั้นๆครับ เป็นหนังสือเล่มที่สั้นที่สุด ลำดับที่สองในพันธสัญญาเดิม รองจาก โอบาดีย์ สำหรับคนที่หา ฮักกัยไม่เจอในครั้งแรก ท่านไม่ใช่คนแรกที่หาไม่เจอแน่นอนครับ ผมเองตอนเตรียมคำเทศนา ตอนแรกก็หาไม่เจอครับ พลิกอยู่สักพัก กว่าจะเจอต้องกลับไปที่สารบัญพระคัมภีร์ หนังสือฮักกัยมีแค่ 2บท รวม 38 ข้อ บางมากครับ หนังสือจะอยู่ใกล้ๆ ตอนท้ายของพันธสัญญาเดิม อยู่ก่อน เศคาริยาห์ และเล่มสุดท้ายของพันธสัญญาเดิม มาลาคี ถ้าใครพบแล้ว เปิดพระคัมภีร์ไว้ครับ แล้วเราจะไปด้วยกัน
[Slide 1] บ่ายวันนี้ผมจะกล่าวถึงพระธรรมฮักกัย โดยจะเน้นในสามประเด็นหลัก นั้นคือ (1) ความหมายของพระวิหาร (2) ความหมายของการสร้างพระวิหาร และ (3) หลักสี่ประการในการสร้างพระวิหารให้สำเร็จ
แต่ก่อนที่จะเข้าไปในประเด็นหลักทั้งสามนี้ ผมขอเล่าถึง บริบท ความเป็นมาของพระธรรมฮักกัยให้พี่น้องทราบก่อนครับ
[Slide 2]
ฮักกัยเป็นผู้เผยพระวจนะในช่วงหลังจากอิสราเอลได้เดินทางกลับมาที่นครเยรูซาเล็ม หลังจากถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในนครบาบิโลน กว่า เจ็ดสิบปี ฮักกัยเป็นผู้เผยพระวจนะในยุคเดียวกันกับ เศคาริยาห์ ในช่วงการปฎิสังขรนครเยรูซาเล็ม สร้างกำแพงเมือง และพระวิหารพระเจ้า ที่นำโดย เศรุบาเบล ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองเยรูซาเล็ม กับ โยชูวา มหาปุโรหิต
สำหรับชาวยิว ก็ยังคงมีความเชื่ออยู่ว่า การปฏิบูรณการ หรือการรื้อฟื้น ชนชาติอิสราเอล ในแผ่นดินแห่งพันธสัญญา จากพระเจ้า มีหมายสำคัญอยู่สองประการ คือ
(1) การกลับมาของการปกครองโดยพงษ์พันธุ์ของกษัตริย์ดาวิด และ (2) การสร้างพระวิหารขึ้นใหม่
เศรุบาเบล ซึ่งเป็นหลานของ กษัตริย์เยโฮยาคีน เชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด (ใน 2พงศ์กษัตริย์ บทที่ 25) ซึ่งถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลน หลังจาก การเข้ามายึดครองอาณาจักรยูดาห์ (ใน ปี 586 ก่อนคริสตกาล) ต่อมา อาณาจักรบาบิโลนเสื่อมอำนาจลง อาณาจักรเปอร์เซีย ได้เข้าครองครองแทน กษัตริย์ไซรัส มีนโยบาย ผ่อนปรน ได้อนุญาตให้เชลยชาวยิว ได้เดินทางกลับ ไปยังยูดาห์ และอนุญาตให้เริ่มสร้างกำแพงเมือง และ พระวิหารอีกครั้งหนึ่ง เป็นครั้งที่สองหลังจากพระวิหารหลังแรกถูกสร้างขึ้นในสมัยของกษัตรย์โซโลมอน (ในปี 970 ก่อนคริสตกาล)
การสร้างพระวิหารครั้งที่สอง ในสมัยของเศรุบาเบล กับ โยชูวา มหาปุโรหิต เริ่มต้นจากการก่อสร้างฐานรากของพระวิหารก่อน แต่ได้รับการต่อต้านจากชนชาติในระแวกนั้น รวมถึงชาวสะมาเรีย จึงต้องหยุดการก่อสร้างลง บันทึกอยู่ใน พระธรรม เอสรา บทที่ 4
พระวิหารถูกทิ้งร้างไว้อีกเป็นเวลา สิบหกปี
จนกระทั่ง ในปี 520 ก่อนคริสตกาล ฮักกัยได้รับพระวจนะจากพระเจ้า เป็นกระบอกเสียงสำหรับพระเจ้า เพื่อให้ อิสราเอลที่ละทิ้ง ภาระกิจที่ได้รับมอบหมายในการสร้างพระวิหาร ไม่สนใจงานพระเจ้า แต่ใช้เวลาในช่วง 16 ปีนั้นดูแลแต่ความต้องการของตนเอง กลายเป็นชุมชนที่เอา ความต้องการของตนเองเป็นศูนย์กลาง สำหรับงานพระเจ้าก็มีข้อแก้ตัวว่า “ยังไม่ถึงเวลา” “ยังไม่พร้อม” ให้กลับมาสร้างพระนิเวศพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
ทำไมพระวิหาร ถึงมีความสำคัญมากสำหรับชาวยิว?
เพราะเป็นหนึ่งในหมายสำคัญของการที่พระเจ้าจะทรงรื้อฟื้นอิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับ การกลับมาปกครองโดยเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด คือ เศรุบาเบล ตามคำพยากรณ์ การรื้อฟื้นนี้เล็งถึง การเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ที่ชาวยิวทุกคนเฝ้ารอคอย ที่จะปลดปล่อยชาวยิวให้เป็นอิสระ จากการเป็นเมืองขึ้น และนำอิสราเอลให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ภาระกิจการสร้างพระวิหารให้สำเร็จจึงมีมิติทางด้านการทหารและอุดมการทางการเมืองการปกครองเข้ามา เกี่ยวข้องโดยตรง
พวกเค้ามีความหวังว่า เศรุบาเบล ก็คือ ผู้ที่ พระยาห์เวห์จะทรงแต่งตั้งผู้แทนพระองค์ในโลกนี้ เพื่อสถาปนาและปกครองพระอาณาจักรในอุดมการณ์นี้ คือ “ผู้รับเจิมของพระยาห์เวห์” (หรือ “พระเมสสิยาห์” ในภาษาฮีบรู) เป็น “พระเมสสิยาห์-กษัตริย์” ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญากับกษัตริย์ดาวิดว่าจะทรงมีพระราชวงศ์ที่คงอยู่ตลอดไป (2 ซมอ บทที่ 7) นี่คือความหวังของชาวยิวในเวลานั้น
[Slide 3]
ประเด็นที่หนึ่ง ความหมายของ พระวิหาร
แล้ว พระวิหาร ในความเข้าใจตามหลักการพระคัมภีร์คืออะไร แท้จริงแล้ว
(1) พระวิหาร คือ การที่พระเจ้าทรงประทับอยู่ท่ามกลางประชากรของพระองค์
อพยพ 29:45-46
“45เราจะสถิตอยู่ท่ามกลางชนชาติอิสราเอล และจะเป็นพระเจ้าของเขา 46เขาจะรู้ว่าเราคือพระเจ้าของเขา ผู้ได้นำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเราจะสถิตอยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย เราคือพระเจ้าของเขา”
พระยาเวห์ทรงสถิตอยู่ท่ามกลางชนชาติอิสราเอลในถิ่นทุรกันดารผ่าน พลับพลา หรือ เต็นท์นัดพบ
[Slide 4]
(2) พระวิหาร เป็นการสำแดงความรักและพระคุณของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์ ด้วยการยกโทษและให้อภัยในความบาป
เลวีนิติ 26:11
“11เราจะตั้งที่ประทับของเราในหมู่พวกเจ้า เราจะไม่เกลียดชังเจ้า”
[Slide 5]
(3) พระวิหารจึงเป็นพระนิเวศแห่งการนมัสการและการอธิษฐาน
อพยพ 25:8-9
“8แล้วให้พวกเขาสร้างสถานนมัสการสำหรับเรา เพื่อเราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขา
9พวกเจ้าจงสร้างพลับพลาและเครื่องใช้ไม้สอยทุกชิ้นของพลับพลานั้นตามแบบที่เราแจ้งแก่เจ้าทุกประการ”
พระเจ้าได้สั่งให้โมเสสสร้างพลับพลา ซึ่งเคลื่อนที่ได้ สำหรับการเดินทางในถิ่นทุรกันดารตลอดสี่สิบปี เพื่อที่อิสราเอลจะนมัสการ และอธิษฐานต่อ พระยาเวห์ ซึ่งประทับอยู่ท่ามกลางพวกเขา และพลับพลานี้ ก็ได้รับการพัฒนาต่อมา เป็นพระวิหาร ที่ประทับถาวรของพระเจ้าท่ามกลางอิสราเอล ในนครเยรูซาเล็ม
สำหรับพันธสัญญาใหม่ พระวิหารในยุคสุดท้าย ปรากฎอย่างชัดเจนใน วิวรณ์ 21-22 พระเจ้าประทับอยู่นครเยรูซาเล็มใหม่ เราในฐานะผู้เชื่อ ที่เป็นประชากรของพระเจ้าแท้จริงแล้ว ก็คือพระวิหารของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ซึ่งชีวิตของเราสำแดงการทรงสถิตของพระองค์ต่อโลกนี้ และเราได้รับ คำสั่ง หรือพระมหาบัญชา ให้ขยายขอบเขต อาณาจักรพระเจ้า พระวิหารของพระเจ้านี้จนกว่าพระเยซู คริสต์จะเสด็จกลับมาครั้งที่สอง
[Slide 6]
อาจารย์เปาโลได้ให้ความเข้าใจนี้ ชัดเจนขึ้นใน พระธรรมเอเฟซัส
เอเฟซัส 2:20-22
“20ท่านทั้งหลายถูกก่อร่างสร้างขึ้นบนรากฐานของบรรดาอัครทูตและบรรดาผู้เผยพระวจนะ มีพระเยซูคริสต์เป็นศิลาหัวมุม 21ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงสร้างถูกเชื่อมต่อกันและเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า 22และในพระองค์นั้น พวกท่านก็กำลังถูกก่อร่างสร้างขึ้นด้วยกันให้เป็นที่สถิตของพระเจ้าโดยพระวิญญาณ”
ยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นยุคสุดท้าย คริสตจักร ซึ่งก็คือ เราแต่ละคน กำลังก่อร่าง สร้างขึ้นในฝ่ายวิญญาณ และกำลังเติบโต “ในพระคริสต์”
พระวิหารจึงหมายถึง การทรงสถิตของพระเจ้าท่ามกลางประชาชนของพระองค์ เป็นที่ๆพระเจ้าทรงสำแดง ความรัก และพระคุณต่อประชากรของพระองค์ เป็นพระนิเวศแห่งการนมัสการและอธิษฐาน และคือ คริสตจักร ซึ่งก็คือ ผู้เชื่อทุกคนในที่นี่
[Slide 7]
ประเด็นที่สอง ความหมายของการสร้างพระวิหาร
พันธกิจการสร้างพระวิหารในยุคสุดท้าย ของเราในฐานะผู้เชื่อ คริสตจักร คืออะไรครับ
ผมเชื่อว่า มีอยู่สองมิติที่สำคัญ และขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้
(1) มิติ ภายนอก ผ่านงานพันธกิจ การรับใช้พระเจ้า ในการขยายอาณาจักรพระเจ้า พระวิหาร การทรงสถิตของพระเจ้า เป็นพยานถึงความรักมั่นคง และการช่วยกู้ เพื่อนำคนที่หลงทาง หลงหาย กลับมายังพระนิเวศของพระเจ้า เป็นการประกาศข่าวดี และสร้างผู้เชื่อให้เป็นสาวกแท้ตามพระมหาบัญชา ของพระเยซู คริสต์
1 เปโตร 2:9
“9แต่พวกท่านเป็นพงศ์พันธุ์ที่ทรงเลือกสรร เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เพื่อให้พวกท่านประกาศพระเกียรติคุณ ของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกพวกท่านให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์”
คริสตจักรกำลังขยายและเติบโต เป็นพระวิหารที่มีชีวิตที่เป็นพยานถึงการทรงสถิตและการช่วยกู้ของพระเจ้า เป็นการประกาศพระเกียรติคุณของพระเจ้า ถึงข่าวประเสริฐ ที่ครั้งหนึ่งเราเคยอยู่ในความมืด เข้าไปสู่ความสว่างในพระองค์
อาณาจักรพระเจ้า คือการที่พระเจ้าทรงปกครองมนุษยชาติ ซึ่งเชื่อฟังพระองค์ทั้งในอดีตปัจจุบัน และในอนาคต อาณาจักร นี่เริ่มขึ้นเมื่อพระคริสต์เสด็จมาในโลก และจะสมบูรณ์เมื่อพระคริสต์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งเมื่อสิ้นยุค
[Slide 8]
(2) มิติฝ่ายวิญญาณภายใน ผ่านชีวิตภายในของเราแต่ละคน การเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ เป็นเรื่องของชีวิตภายในของเรากับพระเจ้า ที่เราต้องมีส่วน กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการก่อสร้างพระวิหารฝ่ายวิญญาณภายในชีวิตของเราแต่ละคน
ผมอยากให้เราสร้างค่านิยมใหม่ในคริสตจักร เวลาพบกัน ให้เราทักทายกันว่า สวัสดีครับ สวัสดีคะ วันนี้เ
ธอได้ใช้เวลากับพระเจ้าหรือยัง ? ดีมั้ยครับ แทนที่จะถามว่า สบายดีมั้ย ไปไหนมา กินข้าวหรือยัง ไหนให้เราบอกคนที่นั่งข้างๆ เรา ทักทายเค้าหน่อยครับ วันนี้เธอได้ใช้เวลากับพระเจ้าหรือยัง?
เอเฟซัส 4:13
“13จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า บรรลุถึงความเป็นผู้ใหญ่ คือโตเต็มถึงขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์”
จุดม่งหมายสูงสุด ในการดำเนินชีวิตคริสเตียน คือ การที่เราจะมีชีวิตที่เป็นเหมือนอย่าง พระเยซู คริสต์ คือ โตเต็มถึงขนาด ความบริบูรณ์ของพระคริสต์ เป็นการก่อสร้างพระวิหารภายใน โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในชีวิตของเรา ซึ่งได้เริ่มขึ้นแล้ว ในองค์พระเยซู คริสต์ และการก่อสร้างพระวิหารนี้ ใช้เวลาทั้งชีวิตของเรา หรือจนกว่า พระเยซู คริสต์จะเสด็จกลับมาเป็นครั้งที่สอง พระวิหารพระเจ้าภายในชีวิตของเรา จึงจะเสร็จอย่างสมบูรณ์
ความหมายในการสร้างพระวิหารจึงมีสองมิติ มิติภายนอกผ่านงานพันธกิจ การรับใช้พระเจ้า และมิติภายใน ผ่านการเติบโตชีวิตฝ่ายวิญญาณภายในของเรา
สำหรับประเด็นสุดท้าย ประเด็นที่สาม หลัก 4 ประการที่ทำให้เราสร้างพระวิหารจนสำเร็จ
พระธรรมฮักกัย ในสัปดาห์นี้ ได้พูดถึง ว่าพระเจ้าทรงมาสอน มาหนุนใจ เศรุบาเบล โยชูวา และประชาชนที่เหลืออยู่ ว่าการที่เขาจะทำภาระกิจที่ได้รับมอบหมายนี้ อย่างเสร็จสมบูรณ์ ได้อย่างไร
มีสี่ประการที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากพระธรรมตอนนี้ครับ
[Slide 9]
หลัก สี่ ประการ ที่ทำให้เราสามารถทำให้ภาระกิจของพระเจ้าจนเสร็จสมบูรณ์ ไม่เลิกล้มกลางคัน
(1) หยุดเปรียบเทียบ
ฮักกัย บทที่ 1 จบลงด้วยการที่ประชาชนยอมเชื่อฟัง พระคำพระเจ้า ต่างพากันอุทิศตัว ทุ่มเทให้กับการก่อสร้างพระวิหาร แต่ในบทที่ 2 อีกสี่ สัปดาห์ต่อมา สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงไป ความตั้งใจทุ่มเท อุทิศตน ก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความ ท้อใจ ความหดหู่ และสิ้นหวัง จนฮักกัย ที่เป็นกระบอกเสียงให้พระเจ้า พระเจ้าต้องตรัสอีกครั้งหนึ่งกับประชาชนที่กำลังก่อสร้างพระวิหาร
ฮักกัย 2:2-3
“ 2“จงกล่าวแก่เศรุบบาเบลบุตรเชอัลทิเอล ผู้ว่าราชการแคว้นยูดาห์ กับมหาปุโรหิตโยชูวาบุตรเยโฮซาดัก และกับประชาชนที่เหลืออยู่ ว่า 3ในพวกเจ้าที่เหลืออยู่มีใครบ้างที่เคยเห็นพระนิเวศนี้ประกอบด้วยศักดิ์ศรีเมื่อครั้งก่อน? และบัดนี้พวก เจ้าเห็นเป็นอย่างไร? มองดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรเลยใช่ไหม?”
ปัญหาของความท้อใจ ทำไม พระเจ้าถึงตั้งคำถามว่า คนที่เคยเห็นพระนิเวศของซาโลมอนเมื่อครั้งยังรุ่งเรือง และคิดว่า พระวิหารที่กำลังสร้างใหม่ ว่า “เหมือนไม่มีอะไรเลย” ความจริงก็คือในกลุ่มคนที่เดินทางกลับมาด้วย คงจะมีผู้อาวุโส ที่ต้องอายุมาก อย่างน้อยต้องอายุมากกว่า 70 ปี ร่วมเดินทางมาด้วย เค้าเหล่านี้ น่าจะถูกจับไปเป็นเชลยที่บาบิโลนตอนที่ยังเป็นเด็ก และได้มีโอกาสเห็นความยิ่งใหญ่ อลังการ และของมีค่าที่ประดับอยู่ในพระวิหารของกษัตริย์โซโลมอน ทำให้เค้าเกิดการเปรียบเทียบกับ พระวิหารปัจจุบันที่พวกเค้ากำลังลงมือก่อสร้างอยู่ หรืออาจจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่เกิดในบาบิโลน แล้วได้ยินคำบอกเล่า ถึงความยิ่งใหญ่ อลังการของพระวิหารหลังเดิม เมื่อเค้าเปรียบเทียบจึงรู้สึกท้อถอยใจ และหดหู่ กับงานที่พวกเขากำลังทำอยู่
[Slide 10]
เอสรา 3:12-13
“12แต่พวกปุโรหิตและคนเลวีและหัวหน้าตระกูลหลายคน คือคนแก่ผู้ได้เห็นพระนิเวศหลังก่อน เมื่อเห็นรากฐานของพระนิเวศหลังนี้ได้วางแล้ว จึงร้องไห้ด้วยเสียงดัง แต่คนเป็นอันมากได้โห่ร้องด้วยความชื่นบาน 13ประชาชนจึงแยกไม่ออกระหว่างเสียงโห่ร้องด้วยความชื่นบาน และเสียงประชาชนร้องไห้ เพราะประชาชนโห่ร้องเสียงดังมาก และเสียงนั้นก็ได้ยินไปไกล”
พวกเขามองย้อนไปในอดีต และเปรียบเทียบ ความท้อใจจะมา
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเขาเปรียบเทียบกับอดีต สำหรับคนเปรียบเทียบกับพระวิหารของโซโลมอน พระวิหารที่กำลังสร้างอยู่ “ไม่มีค่าเลย”
ความจริงแล้ว ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลย ระหว่างพระวิหารของโซโลมอนกับ สมัยของเศรุบาเบล
โซโลมอน ใช้มรดกที่ได้รับมาจากกษัตริย์ดาวิด ที่ช่วยสะสมไว้ให้ และก่อสร้างในช่วงที่อิสราเอล รุ่งเรืองที่สุด งานก่อสร้างใช้คนงานทั้งหมด 183,300 ประกอบไปด้วยทีมงานผู้เชี่ยวชาญในการก่อสร้าง การควบคุมงาน กรรมกร ผู้ใช้แรงงาน ทำงานเต็มเวลา
ในขณะที่งานก่อสร้างในสมัยของ เศรุบาเบล มีคนอยู่ 50,000 ที่อพยพมาจากบาบิโลน เป็นเมืองขึ้นของบาบิโลน และเปอร์เซีย ไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ต้องกลับมาลงหลักปัดฐานใหม่ในนครเยรูซาเล็มที่บัดนี้ เหลือแต่ซากปรักหักพัง ทุนที่ใช้สร้างมาจากการบริจาคหลักจากกษัตริย์เปอร์เซีย ทีมงานก่อสร้างทั้งหมด เป็นมือสมัครเล่น และเป็นงานอาสาสมัคร
หลายครั้ง เรามักจะเปรียบเทียบสิ่งที่พระเจ้าทำในปัจจุบัน กับสิ่งที่พระเจ้ากระทำในอดีต
เพราะเรามองจากมุมมองของมนุษย์คนบาป เราคิดหรือว่ามีสิ่งปลูกสร้างใดที่มนุษย์สร้างขึ้น ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ อลังการ งดงามเพียงใด จะสามารถบังคับให้พระเจ้าสถิตอยู่ได้ หรือคิดว่าสิ่งปลูกสร้างที่ดูเหมือน เล็กๆ ไม่อลังการ สร้างด้วยวัสดุราคาถูก แล้วพระเจ้าจะไม่อยู่ด้วย
เมื่อเราเปรียบเทียบ จำนวนสมาชิกที่มานมัสการในคริสตจักร
เมื่อเราเปรียบเทียบ หน้าที่การงานของเราในปัจจุบัน ที่อาจกำลังตกงาน หางานใหม่ กับงานเดิมที่เราเคยทำ สมัยที่เศรษฐกิจดีๆ จนเรากลายเป็นคนเลือกงาน
เมื่อเราเปรียบเทียบ รายได้ เงินเดือนในปัจจุบัน กับผลตอบแทนในอดีต ในช่วงที่หน้าที่การงานของเรากำลังเจริญก้าวหน้าสุดๆ
หรืออาจจะเป็น เมื่อเราเปรียบเทียบ งานที่เราได้รับมอบหมาย กับคนอื่น ทำไมงานของเราดูเล็กน้อย หรือไม่มีคุณค่า เมื่อเทียบกับคนอื่น
เมื่อเราเปรียบเทียบ ลูกของเรา กับลูกคนอื่นๆ หรือแม้กระทั่งเปรียบเทียบ ระหว่างลูกๆของเราเอง แน่นอนพระเจ้าสร้างเด็กแต่ละคนให้มีพรสรรค์และของประทานที่แตกต่างกัน
วันนี้พระเจ้ากำลังบอกกับเราว่า ให้เรา หยุด !!! อาลัย อาวรณ์ กับอดีต
เพราะอดีตไม่ช่วยอะไรให้ท่านดีขึ้น ให้เราเก็บเกี่ยวเฉพาะประสบการณ์และความประทับใจ แรงบันดาลใจและบทเรียนมาเท่านั้นพอครับ ไม่ว่าอดีตจะแสนสุขหรือทุกข์ใจ บอกตนเองว่ามันผ่านไปแล้ว อยู่กับปัจจุบัน... มองข้างหน้าและทำสิ่งใหม่ให้ดีขึ้น จะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่า
[Slide 11]
เราดูตัวอย่าง เจ๊ไฝ ไข่เจียวปู street food ที่ได้รางวัลหนึ่งดาว จากมิชชิลิน เมื่อเร็วๆนี้ Netflix ทำสารคดีเกี่ยวกับ street food โดยประเดิมเรื่องราว ของเจ๊ไฝเป็น episode แรก เจ๊ไฝ ก่อนที่จะเปิดร้านขายอาหาร ที่บ้านทำกิจการเล็ก ตัดเย็บผ้า มีจักรเย็บผ้า แล้วคืนหนึ่งทุกสิ่งก็หมดไปในพริบตา เพราะไฟไหม้บ้าน ชั่วข้ามคืน เจ๊ไฝ เป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว ในสารคดี เจ๊ไฝบอกว่า ตัวเองหนีออกมาจากบ้านที่ไฟไหม้ มีแค่ ชุดนอนติดตัว มาแค่นั้นเอง หมดแรง หมดกำลังใจ สิ้นหวัง เจ๊ไฝ กลับไปหาแม่ที่ขายผัดก๋วยเตี๋ยว ขอทำด้วย แต่แม่เจ๊ไฝ ดูถูกลูกว่า ไม่มีทางทำได้หรอก ไม่เคยจับตะหลิว กะทะ ขายอาหาร จะทำได้อย่างไร คืนหนึ่งเจ๊ไฝ ลุกขึ้น เอาตะหลิวกับกะทะมาฝึกผัด ทั้งคืน แล้วก็เปิดร้านขายอาหาร พัฒนาสูตรอาหารจน ตอนนี้ ลูกค้าต้องต่อคิวเพื่อจะได้รับประทานอาหารของแก เพื่อนผม ชาวต่างชาติ หลังจากได้ดูสารคดีนี้ทาง netflix ได้รับแรงบันดาลใจมาก อยากจะไปชิมอาหารแกสักครั้ง เค้าพยายามจองโต๊ะผ่านทางอีเมล์ ที่ร้าน แต่ขอโทษนะครับ เดือนมิถุนายน เค้าเอาอีเมล์ตอบกลับจากร้านเจ๊ไฝว่า คิวที่ร้านไม่ว่างจนถึง กันยายน ให้ลองติดต่อกลับมาใหม่
พี่น้องครับ วันนี้ มีอะไรมั้ยที่ทำให้เราท้อใจ ล้มลง เปรียบเทียบกับอดีต แล้วเราไม่ยอมลุกขึ้น ตั้งต้น ทำบางอย่างวันนี้ อาจจะเป็นความล้มเหลวในอดีต หรืออาจจะเป็นการเปรียบเทียบกับความสำเร็จในอดีต สำคัญคือเราอย่าท้อแท้ใจครับ เริ่มต้นใหม่ เอาอดีตเป็นบทเรียน เรียนรู้จากบทเรียนในอดีต และก้าวต่อไป ทำภาระกิจที่พระเจ้ามอบหมายให้กับเราในปัจจุบันให้สำเร็จ ถ้าวันนี้เราเหลือแต่ ตะหลิวกับกะทะ ก็ขอบคุณพระเจ้า ใช้สิ่งที่เรามีเหลืออยู่ ให้เกิดประโยชน์ อย่าท้อใจครับ
เหรียญมีสองด้าน ทุกสิ่งทุกอย่างก็มีทั้งด้านดีและด้านที่ไม่ดีในตัวของมันเอง เรื่องการเปรียบเทียบนี้ก็เช่นกัน การเปรียบเทียบเพื่อให้มองเห็นความแตกต่าง เกิดแรงบันดาลในการใช้ชีวิต รับใช้พระเจ้า เกิดแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำมาปรับใช้เพื่อพัฒนาตนเอง งานรับใช้ของตนเอง เกิดไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาตนเอง พัฒนางานรับใช้ของตนเอง นี่คือข้อดีของการเปรียบเทียบ
แต่ในขณะเดียวกัน ในด้านไม่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย หากเราเปรียบเทียบตัวเรากับผู้อื่น แล้วเรารู้สึกว่าเราทำได้ดีกว่า สิ่งนี้ก็เพิ่ม ความหยิ่ง ทะนง หรือ อีโก้ให้กับตนเอง ในกรณีที่เราทำได้ไม่ดีกว่า เราก็จะรู้สึกว่าตัวเราต่ำต้อยด้อยค่า ไร้ความสามารถ ไม่มีศักยภาพในการจะทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จ ยิ่งเปรียบเทียบก็ยิ่งมองเห็นความแตกต่างระหว่างตัวเรากับตัวเขา รู้สึกท้อแท้ที่จะพยายาม ท้อถอยที่จะนำพาตนเองไปสู่ความสำเร็จ
รู้สึกว่าความสำเร็จที่คาดหวังนั้นเป็นไปได้ยากและไม่มีทางเป็นไปได้ จนอาจนำไปสู่ความรู้สึกเกลียดตัวเอง เบื่อหน่าย หมดไฟในการทำงาน หมดแรงบันดาลใจ ถ้าหากเราเปรียบเทียบแล้วรู้สึกเช่นนี้ การเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นย่อมไม่ทำให้เกิดผลดีต่อตัวตัวเราเอง มีแต่จะทำให้เรารู้สึกแย่ไปมากกว่าเดิม และบั่นทอนกำลังใจในการใช้ชีวิต และการรับใช้พระเจ้า
[Slide 12]
ฟิลิปปี 3:13-14 อาจารย์เปาโล เป็นแบบอย่างในการ “บากบั่นมุ่งสู่หลักชัย”
“13พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมา แล้วโน้มตัวไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า 14และข้าพเจ้าบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัลคือการทรงเรียกแห่งเบื้องบนซึ่งมีในพระเยซูคริสต์
หลักการประการแรกครับ หยุดเปรียบเทียบ เพราะว่าในแต่ละงานที่พระเจ้าทรงมอบหมายนั้น ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ดูเหมือนสำคัญ หรือไม่สำคัญในสายตาของมนุษย์ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว ทุกงาน ทุกการทรงเรียก พระเจ้าทรงเห็นคุณค่าเท่าเทียมกันเสมอ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย ซึ่งนำไปสู่หลักการในข้อที่สองครับ
[Slide 13]
(2) ตระหนักว่า พระเจ้าทรงสถิตและ ประทับอยู่ด้วยในงานพันธกิจที่เรากระทำ ตามการทรงเรียกจากพระเจ้า
พระเจ้าทรงใช้ฮักกัย ให้เป็นกระบอกเสียงของพระองค์ต่อ ชาวยิวที่อพยพกลับมาจากบาบิโลน ในการบอกความจริง เป็นการหนุนใจ ให้เขาเหล่านั้น รู้ว่า พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับพวกเขา
ในฮักกัย 1:13
“13แล้วฮักกัย ทูตของพระยาห์เวห์จึงกล่าวถ้อยคำของพระองค์แก่ประชาชนว่า “พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราอยู่กับเจ้าทั้งหลาย”
ในทุกงานในการก่อสร้างพระวิหาร ไม่ว่าจะใช้แรงงานในการก่ออิฐ แบกหิน หรืองานใช้มันสมอง ในการวางแผน การก่อสร้าง งานออกแบบ เขียนแบบ พระวิหาร หรือมีส่วนในการถวาย เพื่อการก่อสร้าง ก็ให้เราทำด้วยความชื่นชมยินดี ตามตะลันต์และของประทานของเรา ทุกคนมีส่วนร่วมในงานที่ได้รับมอบหมาย ตามการทรงเรียกของพระเจ้า
งานที่พระเจ้ามอบหมายให้กับเรา ไม่สำคัญว่าจะเล็กหรือจะใหญ่ คนจะมองเห็นน้อยๆ แค่จัดเก้าอี้ในห้องนมัสการ เก็บกวาด ทำความสะอาด ล้างจาน แก้วน้ำหลังจากที่ประชุมใช้เสร็จแล้ว หรือ งานที่คนเห็นมากๆ อย่าง งานเทศนาบนธรรมมาส พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย กับทุกงานที่พระองค์ทรงเรียก
ผมอยากหนุนใจเราที่นี่ ให้เราทุกคนในคริสตจักรมีส่วนร่วม ในงานของพระเจ้าอย่างน้อย หนึ่งสิ่งด้วยกัน ตามตะลันต์ ของประทานของเรา อาเมนมั้ยครับ บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่า พระเจ้าเรียกให้เราทำอะไร ของประทานของเราคืออะไร ง่ายๆครับ เริ่มต้น ด้วยการอธิษฐาน และรับใช้พระเจ้าจากสิ่งที่เราถนัด มีความสามารถ แล้วค่อยๆ ลองเปิดโอกาสตัวเองให้ทำในสิ่งใหม่ บางคนอาจหมายถึงการก้าวออกจาก comfort zone พื้นที่ความถนัดของเรา ตามการทรงเรียกที่พระเจ้าอาจท้าทายเราอยู่ เพื่อที่เราจะมีส่วนเสริมสร้างกันและกันในชุมชนที่นี่ เพราะเราต่างเป็นพระกายร่วมกันในคริสตจักร ให้เราได้มีโอกาส กลับไปอธิษฐาน ถึงการมีส่วนร่วมในการสร้างพระวิหาร ร่วมกันครับ
ให้เรามีความสุขในงานที่เราทำ มีความชื่นชมยินดี ในงานที่พระเจ้าเรียกให้เราทำ และทำอย่างสัตย์ซื่อ ถ้าพระเจ้าเรียกเราให้กวาดบ้าน ทำความสะอาด เราก็ทำด้วยความชื่นชมยินดี ถ้าพระเจ้าเรียกให้เราล้างจาน ทำความสะอาดแก้วน้ำ ก็ให้เราทำด้วยความชื่นชมยินดี ถ้าพระเจ้าเรียกให้เราเตรียมคำสอน คำเทศนา ก็ให้เราเตรียมคำสอน คำเทศนาด้วยความชื่นยินดี ถ้าพระเจ้าเรียกให้เรา ปอกผลไม้ เตรียมอาหารว่างสำหรับการประชุม ก็ให้เราปอกผลไม้ เตรียมอาหารว่างด้วยความชื่นชนยินดี
ถ้าพระเจ้าเรียกให้เราดูแลเด็กๆ กลุ่มอนุชน
ถ้าพระเจ้าเรียกให้เราเล่นดนตรี ร้องเพลงนมัสการ
ถ้าพระเจ้าเรียกให้เราทำงานบัญชี งานด้านการบริหารจัดการ ก็ให้เราทำงานต่างๆเหล่านี้ด้วยความชื่นชมยินดี
ถ้าพระเจ้าเรียกให้เราทำงานเป็น staff เต็มเวลา รับเงินเดือนไม่เยอะมาก ก็ขอบคุณพระเจ้า เพราะพระเจ้าอยู่ด้วย
เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตกับเราด้วยในงานที่ทรงเรียกให้เราทำ งานก่อสร้างพระวิหาร ทุกคนต้องมีส่วนร่วม จึงจะสำเร็จ ไม่ใช้เฉพาะ ผู้นำอย่าง เศรุบาเบล หรือโยชูวา ที่เป็นมหาปุโรหิต เท่านั้น เพราะงานทุกงานพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย
งานทุกงานที่เราทำอย่างสัตย์ซื่อ ตามการทรงเรียก พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราเสมอ
สำคัญคือ อย่าทำงานที่พระเจ้ามอบหมายด้วยความขมขื่นใจ และไม่เห็นคุณค่า เพราะไม่มีประโยชน์ทั้งกับตัวเราเอง และคริสตจักร
[Slide 14]
ประการที่สาม
(3) รับกำลังจากพระเจ้า ไม่ใช้กำลังจากตัวเราเองในงานพันธกิจ ในการทำภาระกิจ แต่รับกำลังและการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
ฮักกัย 2:4-5
“4พระยาห์เวห์ตรัสว่า แต่บัดนี้ เศรุบบาเบลเอ๋ย จงเข้มแข็งเถิด มหาปุโรหิตโยชูวาบุตรเยโฮซาดักเอ๋ย จงเข้มแข็งเถิด และประชาชนทั้งสิ้นของแผ่นดินเอ๋ย จงเข้มแข็งเถิด พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า จงทำงานเถิด เพราะเราอยู่กับเจ้าทั้งหลาย 5ตามคำสัญญาที่เราได้ทำไว้กับพวกเจ้าเมื่อเจ้าทั้งหลายออกจากอียิปต์ และวิญญาณของเราดำรงอยู่ท่ามกลางพวกเจ้า อย่ากลัวเลย”
พระเจ้าหนุนใจทั้ง ผู้นำ และ ชุมชน ให้เราวางใจในพระเจ้า และทำงานต่อไป
เราเห็นการจัดเตรียมของพระเจ้า รับกำลังจากพระเจ้า ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งถูกขยายความเข้าใจนี้ใน พระธรรม เศคาริยาห์
เศคาริยาห์ 4
“1และทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้ามาอีก และปลุกข้าพเจ้าเหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากการนอนของเขา 2และท่านถามข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าเห็นอะไร?’ ข้าพเจ้าตอบว่า ‘ข้าพเจ้าเห็นเชิงตะเกียงทำด้วยทองคำล้วนอันหนึ่งมีชามอยู่ที่ยอด และมีตะเกียงอยู่บนนั้น 7 ดวง และมีท่อ 7 ท่อนำไปยังตะเกียงซึ่งอยู่บนยอดนั้นดวงละท่อ 3และมีต้นมะกอก 2 ต้นอยู่ข้างๆ อยู่เบื้องขวาชามนั้นต้นหนึ่ง อยู่เบื้องซ้ายต้นหนึ่ง’ 4และข้าพเจ้าถามทูตสวรรค์ผู้ที่สนทนากับข้าพเจ้าว่า ‘นายเจ้าข้า นี่คืออะไร?’ 5ทูตสวรรค์ที่สนทนากับข้าพเจ้าตอบข้าพเจ้าว่า ‘นี่คืออะไร? เจ้าไม่ทราบหรือ?’ ข้าพเจ้าตอบว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ทราบ’ 6แล้วท่านจึงตอบข้าพเจ้าว่า ‘นี่เป็นพระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ให้ไว้กับเศรุบบาเบล ว่า ไม่ใช่ด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ 7โอ ภูเขาใหญ่ เจ้าเป็นอะไรเล่า? ต่อหน้าเศรุบบาเบล เจ้าจะเป็นที่ราบ และเขาจะนำศิลาก้อนที่อยู่ยอดมาท่ามกลางการโห่ร้องว่า “งามจริง งามจริง” ’ 8“ยิ่งกว่านั้นพระวจนะของพระยาห์เวห์มายังข้าพเจ้ากล่าวว่า 9มือของเศรุบบาเบลได้วางรากฐานของพระนิเวศนี้ และมือของเขาจะสร้างให้สำเร็จ (‘แล้วพวกเจ้าจึงจะทราบว่า พระยาห์เวห์จอมทัพได้ใช้ข้าพเจ้ามาหาเจ้า 10ใครจะดูหมิ่นวันแห่งการเล็กน้อย? เขาจะเปรมปรีดิ์เมื่อได้เห็นสายดิ่งที่อยู่ในมือของเศรุบบาเบล’)
‘ทั้งเจ็ดนี้คือบรรดาพระเนตรของพระยาห์เวห์ซึ่งมองอยู่ทั่วพิภพ’ 11แล้วข้าพเจ้าจึงถามท่านว่า ‘ต้นมะกอก 2 ต้น ที่อยู่ข้างขวาและข้างซ้ายของเชิงตะเกียงนั้นคืออะไร?’ 12และข้าพเจ้าถามท่านเป็นครั้งที่สองว่า ‘กิ่งทั้งสองของต้นมะกอก ซึ่งอยู่ข้างท่อทองคำทั้งสอง ซึ่งเทน้ำมันออกนั้นคืออะไร?’ 13ท่านพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าไม่ทราบหรือว่า เหล่านี้คืออะไร?’ ข้าพเจ้าตอบว่า ‘นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่ทราบ’ 14แล้วท่านจึงกล่าวว่า ‘ทั้งสองนี้คือผู้ที่ได้รับการเจิมเป็นผู้ยืนอยู่ข้างองค์เจ้านายของพิภพทั้งสิ้น’
เศคาริยา บทที่ 4 พระเจ้าได้จัดเตรียมทุกสิ่งไว้แล้ว เพื่อที่ให้เราทำงานได้สำเร็จ คันประทีป กับต้นมะกอกสองต้น คันประทีปได้รับน้ำมันอย่างสม่ำเสมอจากต้นมะกอกสองต้นที่อยู่ข้างซ้ายและขวา พระเจ้าทรงจัดเตรียม และกำลังให้กับเศรุบาเบล เป็นกำลังที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่กำลังที่มาจากมนุษย์ หรือของตัวเราเอง
เราจะได้รับกำลังทุกสิ่ง จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ บางครั้งพระเจ้าก็อาจจะให้เราออกจาก comfort zone บ้างเพื่อที่เราจะไม่พึ่งพากำลัง ความสามารถ ความถนัดของตนเอง แต่ให้เราอธิษฐานขอกำลังจากพระเจ้าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
ถ้าใครรับใช้พระเจ้า ด้วยกำลังของเราเอง สุดท้ายเราจะหมดแรง ท้อถอย และเลิกลาไปในที่สุด ให้ทุกเช้า เมื่อเราตื่นนอน ขึ้นมา ให้เราได้อฐิษฐานว่า พระองค์อยากให้เราทำอะไรเช้านี้
ให้เรามีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้าเสมอ เหมือนใน ยอห์น 15 เราเป็นแขนงที่ติดสนิทอยู่กับเถาองุ่น คือพระเยซู คริสต์ เพื่อที่เราจะสามารถทำงานได้อย่างเกิดผล ไม่พึ่งพากำลังของตนเอง แต่รับกำลัง และการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
[Slide 15]
ประการสุดท้าย ประการที่สี่
(4) ให้เรา ยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าในอนาคต เพราะ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และรักษาสัญญา
ฮักกัย 2:6-9
“6เพราะพระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้ว่า อีกไม่นาน เราจะเขย่าท้องฟ้าและโลก ทะเลและแผ่นดินแห้งอีกครั้งหนึ่ง 7เราจะเขย่าประชาชาติทั้งหมด และทรัพย์สมบัติของประชาชาติทั้งหมดจะเข้ามา แล้วเราจะบรรจุนิเวศนี้ให้เต็มด้วยศักดิ์ศรี พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสเช่นนี้ 8เงินเป็นของเรา และทองก็เป็นของเรา พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ 9พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า ศักดิ์ศรีของพระนิเวศหลังนี้จะยิ่งใหญ่กว่าหลังก่อน และในสถานที่นี้ เราจะให้สันติสุข” พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสดังนี้แหละ”
แม้วิหารที่เศรุบาเบลสร้างเสร็จแล้ว จะเป็นวิหารเล็กๆ ไม่ใหญ่โต หรือประดับด้วยเพชรนิลจินดาที่มีค่า เหมือนพระวิหารหลังแรก ของกษัตริย์ซาโลมอน เพราะข้อจำกัดหลายๆอย่าง ตามที่ผมได้กล่าวไว้าแล้วในตอนต้น แต่ใครจะรู้ว่า อีก ห้าร้อยปีผ่านมา กษัตริย์เฮโรด ได้เข้ามาขยาย บูรณะปฏิสังขรณ์ พระวิหารหลังที่สอง ของเศรุบาเบลต่อ จนกลายเป็นวิหารที่สง่างาม ยิ่งใหญ่อลังการ ตามพระสัญญาของพระเจ้าผ่านทางฮักกัย
งานบางอย่างที่พระเจ้าเรียกให้เราทำ อาจจะดู เล็กน้อย ไม่มีความสำคัญในปัจจุบัน แต่ใครจะรู้ว่า พระเจ้าจะทำให้งานที่ดูเหมือนเล็กน้อย มีความยิ่งใหญ่มากในอนาคต ก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้น พระวิหารที่เศรุบาเบลสร้าง พระเยซู คริสต์ ก็ได้เสด็จเข้ามา ในพระวิหาร เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระสิริของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ กว่า วิหารของโซโลมอนอย่างเทียบไม่ได้ “ศักดิ์ศรีของพระนิเวศหลังนี้จะยิ่งใหญ่กว่าหลังก่อน” ตามพระสัญญาของพระเจ้า
พระเจ้าทรงสัญญาว่า ผ่านพระวิหารนี้ พระองค์จะทรงประทาน สันติสุข หรือ “ชาโลม” ความครบถ้วนบริบูรณ์ สวัสดิภาพ สันติภาพ ความมั่งคั่ง ในพระวิหารนี้ โดยผ่านทางพระเยซู คริสต์ ผู้ที่มาทำให้สำเร็จ ที่ไม้กางเขน ซึ่ง เริ่มต้นที่พระวิหารนี้ และแท้ที่จริง พระเยซู คริสต์ พระองค์ทรงเป็นพระวิหารใน ยุคสุดท้าย จากการฟื้นพระชนม์ในวันที่สาม นำ ชาโลม ที่แท้จริงในข่าวประเสริฐ
พระวิหารใน ยุคสุดท้าย จากการฟื้นพระชนม์ในวันที่สาม นำ ชาโลม ที่แท้จริงในข่าวประเสริฐ
ก่อนที่ผมจะจบคำเทศนา
มีคำอุปมาเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะเล่าในบ่ายวันนี้ เป็นคำอุปมาเกี่ยวกับ “สถานีช่วยเหลือลูกเรือที่จมน้ำ” คำอุปมานี้เขียนขึ้นในปี 1953 โดย Priest ของ แองกลิกัน ศาสนาจารย์ Theodore Wedel
[Slide 16]
ณ ชายทะเลแห่งหนึ่ง ซึ่งมักจะมีเรืออับปางอยู่บ่อยๆ เนื่องจากเป็นบริเวณชายทะเลที่มีคลื่นลมแรง และมีหินโสโครกอยู่เป็นจำนวนมาก
[Slide 17]
ยังมีสถานีช่วยชีวิตลูกเรือที่จมน้ำเล็กๆอยู่แห่งหนึ่ง ตัวอาคารของสถานีแห่งนี้เป็นเพียงกระท่อมเก่าๆ และมีเรือบดลำเล็กอยู่เพียงลำเดียว ใช้สำหรับออกไปกลางทะเลเพื่อช่วยลูกเรือที่จมน้ำ สถานีนี้มีสมาชิกที่ไม่มากนัก แต่ทุกคนต่างทุ่มเท อุทิศตัวเองให้กับภาระกิจนี้ โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย หรือคิดถึงความสบายของตนเอง สมาชิกหมั่นออกไปสำรวจทะเล เพื่อช่วยเหลือลูกเรือที่กำลังจมน้ำ ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ผลจากการอุทิศตัวของสมาชิกที่ทุ่มเทเหล่านี้ ทำให้ มีผู้คนมากมายรอดชีวิตจากการจมน้ำ ส่งผลให้สถานีแห่งนี้เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ
มีบางคนที่รอดชีวิตจากการได้รับการช่วยเหลือจากสถานีนี้ รวมทั้ง ผู้คนในระแวงนั้นก็เริ่มอยากจะเข้ามามีส่วนร่วมกับสถานีแห่งนี้ คนเหล่านี้เริ่มต้นจากการอุทิศเวลาของตนเองและทรัพย์สินเงินทอง เพื่อสนับสนุนปฎิบัติการช่วยเหลือลูกเรือที่จมน้ำ สถานีเริ่มมีเรือบดลำใหม่ๆเพิ่มขึ้น เมื่อสถานีมีเงินมากขึ้นจำนวนสมาชิกของสถานีก็เพิ่มขึ้น มีการส่งสมาชิกไปรับการฝึกอบรมการกู้ภัยทางน้ำเพิ่มเติม
[Slide 18]
มีสมาชิกบางคนของสถานีเริ่มรู้สึกว่า อาคารของสถานีเล็กไป การตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ก็เก่าเต็มที พวกเขาคิดว่า เราน่าจะมีสถานี ที่น่าจะสะดวกสบาย กว่านี้ เพื่อรองรับ ลูกเรือที่ได้รับการช่วยเหลือจากการจมน้ำในทะเล พวกเขาเปลี่ยนแปลนอนฉุกเฉินด้วย เตียงนอน ที่ดีกว่า ปรับปรุงการตกแต่งใหม่ มีเฟอร์นิเจอร์ใหม่ๆ ขยายอาคารให้ใหญ่ขึ้น สถานีช่วยเหลือลูกเรือจมน้ำ บัดนี้กลายเป็นสถานที่พบปะ สังสรรค์อย่างสม่ำเสมอของสมาชิก สถานีถูกตกแต่งอย่างสวยงามและหรูหรามากขึ้น เพราะว่าสมาชิกเริ่มใช้พื้นที่ของสถานีเป็นสมาคมพบปะสังสรรค์กัน สมาชิกที่สนใจจะออกไปสำรวจทะเล เพื่อช่วยเหลือ ลูกเรือที่เรือแตกอับปางก็เริ่มลดลงเรื่อยๆ สถานีก็ใช้วิธีการ ว่าจ้างลูกเรือเจ้าหน้าที่ให้เป็นคนปฏิบัติหน้าที่ค้นหา และช่วยเหลือคนจมน้ำแทนสมาชิก ที่สถานียังคงมี ป้ายงานพันธกิจช่วยชีวิตคนจมน้ำ ประดับอยู่ที่ผนัง และทางสโมสร เริ่มมี ระเบียบพิธีการรับเป็นสมาชิกใหม่ของทางสถานี โดยจะมีเรือบดสำหรับช่วยเหลือคนจมน้ำทั้งลำ วางอยู่ ในพิธีการด้วย
วันหนึ่ง ก็เกิดมีเรือใหญ่ลำหนึ่งเกิดอับปาง ในทะเลบริเวณนั้น พนักงานรับจ้างของทางสถานีก็ปฎิบัติการช่วยเหลือลูกเรือที่จมน้ำ พวกเขานำผู้ประสบเหตุเข้ามาในสถานี ในสภาพที่เปียกไปทั้งตัว ให้การปฐมพยาบาล และพักรักษาตัว ในสภาพที่สกปรกมอมแมม สถานีที่ตอนนี้กลายสภาพมาเป็น สโมสรคลับเฮาส์ ก็เต็มไปด้วย ความโกลาหล วุ่นวาย และเสียงดังรบกวน ดังนั้น สมาชิกก็ตัดสินใจสร้างกระท่อมเล็กๆ นอกสถานี ไว้สำหรับ พนักงานช่วยเหลือ และ เหยื่อลูกเรือที่ได้รับการช่วยเหลือจากการจมน้ำ ใช้สำหรับอาบน้ำ ปฐมพยาบาล ชำระร่างกายให้แห้งและสะอาดก่อนที่จะเข้ามาใช้พื้นที่ในบริเวณสถานี
ในระหว่างการประชุมของทางสถานีครั้งถัดมา สมาชิกของทาง สถานี เริ่มมีความเห็นแตกแยก เกี่ยวกับสถานี ที่บัดนี้กลายสภาพมาเป็น สโมสรคลับเฮาส์ สมาชิกเสียงส่วนใหญ่ต้องการให้ทาง สโมสรหยุดปฎิบัติการช่วยเหลือเหยื่อลูกเรือจากการจมน้ำในทะเลใกล้ๆ เพราะว่าเป็นกิจกรรมที่ ไม่น่ารื่นรมย์ และกระทบกระเทือนกับ ความสงบสุขโดยรวมของทางสโมสร อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีสมาชิกเสียงส่วนน้อย บางคนที่ไม่เห็นด้วย และยังคงยืนยันให้ทางสถานียังคงปฏิบัติค้นหา และช่วยเหลือผู้ประสบเหตุต่อไป เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมย์ดั่งเดิมของทางสถานี เพราะชื่อของทางสโมสร ยังคงใช้ชื่อว่าเป็น “สถานีช่วยเหลือลูกเรือจมน้ำ” แน่นอนเนื่องจากเป็นเสียงส่วนน้อย ดังนั้นจึงต้องทำตามมติของเสียงส่วนใหญ่ และทางสถานีก็บอกกับกลุ่มสมาชิกเสียงส่วนน้อยนี้ว่า ถ้ายังคงต้องการทำตามนั้นก็ต้องไปเปิด สถานีสำหรับช่วยเหลือลูกเรือที่จมน้ำที่อื่น ซึ่งแน่นอน สมาชิกเสียงส่วนน้อยก็ต้องแยกตัวออกจากสถานีเดิมซึ่งบัดนี้กลายเป็นสโมสรคลับเฮาส์ เพื่อไปตั้งสถานีใหม่ เล็กๆ ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีเดิม
หลายปีผ่านไป สถานีใหม่ที่พวกเขาตั้งขึ้นก็ประสบกับการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกับสถานีเดิมของพวกเขา สถานีสำหรับให้ความช่วยเหลือลูกเรือที่จมน้ำ ค่อยๆกลายเป็นสโมสร สำหรับการพบปะสังสรรค์ของสมาชิก และแน่นอนก็จะมีสถานีแบบเดียวกันนี่ ตั้งขึ้นมาใหม่ใกล้ๆกับสถานีเดิมเช่นกัน ประวัติศาสตร์ก็กลับมาซ้ำรอยเดิมของมัน ถ้าเราได้มีโอกาสไปแวะชายทะเลบริเวณนั้น เราก็จะพบเห็นสโมสรที่สวยงาย เป็นจำนวนมากตั้งเรียงรายอยู่ตามชายทะเล และแน่นอน บริเวณทะเลนั้นก็ยังคงมีเรือที่อับปางอยู่เรื่อยๆ และลูกเรือส่วนใหญ่จากเรือที่อับปางก็จมน้ำเสียชีวิต
คงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่พระนิเวศของพระเจ้า คริสตจักร จะกลายเป็นเพียง สโมสร คลับเฮาส์ ที่ไม่มีใครสนใจจะทำพันธกิจที่พระเจ้ามอบหมายไว้ให้กับคริสตจักร มองแต่ความต้องการของตนเอง และพวกพ้อง
ผมอยากหนุนใจให้เราทุกคนที่นี่ มีส่วนในการสร้างพระวิหารร่วมกันครับ คือมีส่วนในงานด้านการรับใช้ อย่างน้อยคนละหนึ่งอย่าง เริ่มต้นด้วยการอธิษฐาน แล้ว สามารถเข้ามาคุยกับอาจารย์ ศิษยาภิบาล เพื่อจะมีส่วนร่วมกันในการสร้างพระนิเวศ ไม่ให้ คริสตจักรกลายเป็น เหมือนสโมสร หรือคลับเฮาส์ อย่างคำอุปมานี้ครับ ที่สำคัญ ต้องไม่ละเลย การสร้างพระวิหารฝ่ายวิญญาณในชีวิตภายในของเรา ให้เราเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์ มีชีวิตภายใน ที่สะท้อนพระเยซู คริสต์ มีผลพระวิญญาณมากขึ้นในชีวิตของเรา ประการสุดท้ายครับ หลักการสี่ประการ ที่จะสร้างพระวิหารให้สำเร็จ คือ หยุดเปรียบเทียบ ตระหนักว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราในงานรับใช้ รับกำลังพระเจ้า การทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่พึ่งพาแค่กำลังจากตัวเอง และสุดท้ายคือ ยึดมั่นและมีความหวังเสมอ ในพระสัญญาของพระเจ้า
ให้เราร่วมใจกันอธิษฐานครับ
ผมอยากจะอธิษฐานเผื่อคนสองกลุ่ม ที่ผมนีกถึง ในเวลานี้
คนกลุ่มแรก คือ คนที่ครั้งหนึ่งเคย ร้อนรนในงานรับใช้ หรือเคยรับใช้พระเจ้าเต็มเวลา แต่บัดนี้ หมดกำลังใจ ท้อแท้ ท้อถอย อาจจะเป็นเพราะ งานรับใช้ดูเหมือนไม่เกิดผล ดูเหมือนมีอุปสรรคมากมาย หลายครั้งคิดจะล้มเลิก หรือแม้กระทั่งไม่อยากมาคริสตจักร บางคนในที่นี้ อาจจะขมขื่นกับคนอยู่ กับคำพูดที่ทำให้เกิดบาดแผล บ่ายวันนี้ พระเจ้ามาพูดกับท่านครับ ถ้าคุณเป็นคนกลุ่มนี้ ผมอยากจะอธิษฐานเผื่อท่านครับ ให้เราก้มศีรษะ หลับตา ครับ
พระบิดาผู้ทรงเมตตา ลูกอธิษฐานเผื่อสำหรับ บางคนในที่นี่ ที่หลายครั้งท้อใจ ท้อถอย ความเบื่อหน่าย ในการเดินติดตามพระองค์ หลายครั้ง คิดจะล้มเลิก ไม่มาคริสตจักร ขอพระองค์ทรงเข้ามาหนุนใจ ขอความรัก พระเมตตาของพระองค์ นำการเยียวยา รักษา จิตใจที่บาดเจ็บ และบอบช้ำเหล่านี้ ไม้อ้อที่ช่ำแล้วพระองค์จะไม่ทรงหักเสีย ไส้ตะเกียงที่ริบหรี่จะไม่ทรงดับ ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงเป็นแหล่งแห่งกำลัง ที่บัดนี้ เค้าเหล่านี้ จะไม่ได้รับใช้พระเจ้า โดยพึ่งพากำลังของตนเองอย่างเดียว แต่พึ่งพากำลังจากพระเจ้า รับกำลังจากพระเจ้าในทุกๆวัน ขอพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน นำสันติสุข ความชื่นชมยินดี กลับมาในงานรับใช้ของท่าน ที่เราจะไม่มองที่มนุษย์อย่างเดียว แต่สายตาเราจับจ้องมองที่พระเยซู คริสต์ผู้เป็นแบบอย่างของการรับใช้ ลูกอธิษฐานในพระนามของพระเยซู คริสต์เจ้า อาเมน
ในขณะที่เรากำลัง ก้มศีรษะหลับตาอยู่
มีคนกลุ่มที่ สอง ที่ผมอยากจะอธิษฐานเผื่อท่านเป็นพิเศษ ถ้าท่านวันนี้ พระเจ้าเข้ามา ท้าทาย หนุนใจ ให้ท่านเป็นคนหนึ่ง ที่อยากจะมีส่วนในงานรับใช้พระเจ้าในคริสตจักร งานก่อสร้างพระวิหาร ไม่สามารถทำเพียงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้ ทุกคนในคริสตจักร ต้องมีส่วนร่วม งานสร้างพระหารจึงจะสำเร็จลงได้ หากท่านเป็นคนหนึ่งที่พระเจ้าพูดด้วย ผมอยากอธิษฐานเผื่อท่านครับ
พระบิดาผู้ทรงสัตย์ซื่อ การดีที่พระองค์ทรงโปรดเริ่มต้นในชีวิตของเราแล้ว พระองค์จะทรงเป็นผู้ที่กระทำให้สำเร็จ ลูกขอบคุณพระเจ้าสำหรับ สมาชิกที่อยากมีส่วนในงานก่อสร้างพระวิหาร มีส่วนในงานพันธกิจของคริสตจักร ขอพระองค์ทรงเปิดเผย เมื่อเขาเหล่านี้ได้อธิษฐานทูลถามพระเจ้า ตามการทรงเรียกของพระองค์ ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงนำ เปิดเผย แผนงานตามการทรงเรียก อาจมีบางคน ที่ต้องตัดสินใจ ก้าวออกจาก comfort zone ตามการทรงเรียกของพระองค์ พระเจ้าตรัสกับท่านในบ่ายนี้ว่า จงเข้มแข็ง และกล้าหาญเถิด อย่ากลัวเลย เพราะพระเจ้าสถิตอยู่กับท่านด้วย ลูกอธิษฐานในพระนามของพระเยซู คริสต์เจ้าเอเมน
ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญพระเจ้า อาเมน
Related Media
See more
Related Sermons
See more