Christ the King พระคริสต์ องค์ราชา
Notes
Transcript
Sermon Tone Analysis
A
D
F
J
S
Emotion
A
C
T
Language
O
C
E
A
E
Social
I thank God that today our congregations are united under the banner “Christ, the King” Although pastor Norman took the initiative for today event, I believe he has done so under the guidance of the Holy Spirit, who open our spiritual eyes to see and understand the spiritual reality.
หัวข้อคำเทศนาสำหรับวันนี้ จึงเป็น พระคริสต์ องค์ราชา ความจริงดูเหมือนว่าพระคำจากพระกิตติคุณลูกาในเช้านี้ ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่เลยครับ ที่จะประกาศกับโลกนี้ว่า พระคริสต์ องค์ราชา พระคริสต์ทรงเป็นราชาแบบไหนกันแน่นะ ที่ต้องตายอย่างน่าอนาจที่ไม้กางเขน
ผมขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ สำหรับคริสตจักรของเราที่ร่วมใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการร่วมกันประกาศ ถึง “พระคริสต์ องค์ราชา” ถึงแม้ว่าอาจารย์นอร์แมนจะเป็นผู้ริเริ่มสำหรับการจัดนมัสการร่วมกันในวันนี้ แต่ผมเชื่อว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นโดยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งเป็นผู้เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้เราเห็นและเข้าใจในความจริงด้านจิตวิญญาณนี้
The title for today message is Christ, the King. It might not make sense to the world and even to us at first why using the Gospel today from Luke to proclaim Christ as the King. What kind of king this is to be hung half death on the cross.
พระคำในวันนี้ได้ให้ภาพของ ชายสามคน ในขณะที่กำลังจะตายที่ไม้กางเขน ลูกา 23:33
“เมื่อไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่ากะโหลกศีรษะ เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่นั้นบนกางเขน พร้อมกับผู้ร้ายสองคนนั้น ข้างขวาคนหนึ่ง ข้างซ้ายคนหนึ่ง”
ชายสามคน กำลังถูกตรึงที่ไม้กางเขน ซึ่งเป็นการประหารชีวิตสำหรับโทษของอาชญากรรม ชายทั้งสามคนนี้ต้องตายในสภาพเดียวกัน แต่การตายที่ไม้กางเขนของทั้งสามคน กลับมีความหมายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หัวข้อคำเทศนาสำหรับวันนี้ จึงเป็น พระคริสต์ องค์ราชา ความจริงดูเหมือนว่าพระคำจากพระกิตติคุณลูกาในเช้านี้ ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่เลยครับ ที่จะประกาศกับโลกนี้ว่า พระคริสต์ องค์ราชา พระคริสต์ทรงเป็นราชาแบบไหนกันแน่นะ ที่ต้องตายอย่างน่าอนาจที่ไม้กางเขน
คนหนึ่งตายในความบาป
คนหนึ่ง ตาย อยู่ในความบาป
คนที่สอง ตาย เพื่อชำระความบาป
คนที่สาม ตาย ต่อความบาป
The passage today presents a picture of 3 dying men on the cross. We read:
ไม้กางเขนทั้งสามสะท้อนถึง หัวใจของแผนการแห่งความรอดจากพระเจ้า เรื่องราวพระกิตติคุณซึ่งมี พระคริสต์เป็นศูนย์กลางในการดำเนินเรื่อง เพื่อช่วยเราให้รอดพ้นจากการตาย อยู่ในความบาป ซึ่งเปรียบเทียบเหมือนกับชายคนแรก ชายคนที่สองที่อยู่ตรงกลาง ก็คือ พระเยซู ผู้ทรงความชอบธรรม ซึ่งต้องสิ้นพระชนม์เพื่อชำระความบาปของเรา โดยทางพระเยซู ในสภาพของโลกแห่งความบาปที่เต็มไปด้วย ความสิ้นหวังและ การแตกสลาย จิตวิญญาณของพวกเราได้รับการไถ่ และ บูรณะฟื้นฟู เพื่อที่ว่า เราจะไม่ต้องอยู่และตายในความบาปอีกต่อไป แต่ เราสามารถที่จะตาย ต่อความบาปและมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า ซึ่งเปรียบเทียบเหมือน คนที่สาม
“When they came to the place called the Skull, they crucified him there, along with the criminals—one on his right, the other on his left.”
ชายคนแรกซึ่งตายอยู่ในความบาป นั้นเปรียบเหมือนกับพวกเราทุกคน ชายคนนี้เยาะเย้ยและหมิ่มประมาทพระคริสต์ ในข้อที่ 39 “เจ้าเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? จงช่วยตัวเองกับเราทั้งสองให้รอดเถิด” คนทั้งหมดในเวลานั้นไม่ว่าจะเป็น คณะผู้ปกครอง และบรรดาทหาร ต่างพูด และทำเหมือนกัน คือ พวกเขาเยาะเย้ยและหมิ่นประมาทพระเยซูถึง ความเป็นกษัตริย์ของพระองค์ โดยกล่าวเยาะเย้ยพระองค์ ให้ทรงช่วยตัวเองให้รอด บรรดาผู้นำก็กล่าวกับพระองค์ ในข้อ 35 “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ก็ให้เขาช่วยตัวเองด้วยซิ ถ้าหากเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้าที่ทรงเลือกไว้”
ข้อ 37 “ถ้าเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวก็จงช่วยตัวเองให้รอดเถิด”
Luke 23:33 NIV
พระคำในวันนี้ได้ให้ภาพของ ชายสามคน ในขณะที่กำลังจะตายที่ไม้กางเขน ลูกา 23:33
พวกเราจริงแล้วก็มีวิญญาณท่าทีแบบนี้เช่นกัน ถ้าสมมติว่า เรากำลังถูกตรึงอยู่ที่กางเขน และอยู่ในสภาพที่ทุกข์ทรมาน พวกเราคงจะไม่ลังเลที่จะช่วยตัวเราเองก่อน เพราะเราจะคิดถึงตัวเองก่อนเสมอ ชายคนแรกที่กำลังขาดใจตายก็คือ พวกเราทุกคนที่นี่ เพราะว่า เราต่างมีวิญญาณหรือท่าทีแบบชายคนแรกนี้ วิญญาณที่พูดถึงเป็นแบบไหนครับ เราจำได้มั้ยถึงเหตุการณ์ที่ พระเยซูทรงถูกทดลองในถิ่นทุรกันดาร “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นขนมปัง” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงช่วยตัวเองให้รอดเถิด ทำไมต้องปล่อยตัวเองให้ต้องตายเพราะความหิวโหย” ใครเป็นคนพูดประโยคเหล่านี้ครับ มารใช่มั้ย มารยังคงเป็นวิญญาณแห่งการทดลองและ การหลอกลวง “ทำไมต้องรอคอยเพื่อพระเจ้า พระเจ้ามีจริงหรือเปล่า พระเจ้าทรงห่วงใยเราจริงหรือเปล่า ช่วยตัวเราเองก่อนดีกว่ามั้ย และทุกคนบนแผ่นดินโลกนี้ก็ตกอยู่ในการล่อลวงของมาร นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม โลกนี้จึงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และการแตกสลาย
Interestingly, the rulers in the story are the religious leaders, who are supposed to know the Bible and God well, just like most of us here this morning. But why they end up rejecting God? In Stephen, the martyr, said to them “You stiff-necked people! Your hearts and ears are still uncircumcised. You are just like your ancestors: You always resist the Holy Spirit!” When we habitually resist the Holy Spirit, we are exposed to and are deceived by the spirit of devil to live for ourselves, and eventually to die in our sins.
“เมื่อไปถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่ากะโหลกศีรษะ เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่นั้นบนกางเขน พร้อมกับผู้ร้ายสองคนนั้น ข้างขวาคนหนึ่ง ข้างซ้ายคนหนึ่ง”
Basically, there were three men being crucified, which was an execution fit for criminals. These three men died in the same manner, but with completely different meaning:
ชายสามคน กำลังถูกตรึงที่ไม้กางเขน ซึ่งเป็นการประหารชีวิตสำหรับโทษของอาชญากรรม ชายทั้งสามคนนี้ต้องตายในสภาพเดียวกัน แต่การตายที่ไม้กางเขนของทั้งสามคน กลับมีความหมายที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ที่น่าสนใจคือ ผู้นำในเวลานั้น ต่างเป็นผู้นำศาสนา ผู้ซึ่งมีความรู้ เชี่ยวชาญในพระคัมภีร์และพระเจ้าเป็นอย่างดี ก็คงเหมือนกับเราหลายๆคนที่นี่ในเช้าวันนี้ แล้วทำไมสุดท้าย ผู้นำเหล่านี้กลับปฏิเสธพระเจ้า ในกิจการ 7:51 สเตเฟน ผู้ซึ่งสละชีวิตเพื่อข่าวประเสริฐ กล่าวกับผู้นำศาสนาว่า “เจ้าพวกคนหัวแข็ง ใจดื้อดึง และหูตึง พวกท่านขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทำอย่างไร พวกท่านก็ทำอย่างนั้น” เมื่อไรก็ตามที่เราขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธ์ิอยู่เสมอๆ เรากำลังตกอยู่ภายใต้ความหลอกลวงของวิญญาณของมาร ดำเนินชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง และท้ายที่สุด เราก็จะตายอยู่ในความบาปของตนเอง
ชายที่อยู่ตรงกลาง คือชายที่ตายเพื่อความบาป ชายผู้นี้คือ พระคริสต์ของเรา องค์ราชาของเรา สนามรบของกษัตริย์ของพวกเราคือ ในด้านจิตวิญญาณ พระองค์ทรงยอมเชื่อฟังและถ่อมพระองค์ลง เพื่อที่จะทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จในพระองค์ ซึ่งน้ำพระทัยนั้นก็คือ การที่ทรงเป็นพระเมษโปดก เป็นลูกแกะสำหรับการไถ่โทษบาป ของประชากรของพระองค์ ในช่วงวาระสุดท้ายก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยความทรมานแสนสาหัส ไม่เพียงแต่ทางด้านร่างกาย แต่ จิดวิญญาณด้วยเช่นกัน ไม่ใช่เพื่อตัวพระองค์เอง แต่เพื่อผู้อื่น ซึ่งรวมถึงแม้กระทั่งผู้ที่เป็นศัตรูของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่นำพระองค์มาตรึงที่กางเขน พระองค์ทรงอธิษฐานในข้อ 34 ว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” องค์ราชาของพวกเรา จอมเจ้านายแห่งฟ้าสวรรค์ เสด็จลงมารับสภาพเป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์หนึ่งคน และสิ้นพระชนม์เหมือนกับมนุษย์ปุถุชน ทรงเป็นมนุษย์ในแบบอย่างที่พวกเราซึ่งได้รับการสร้างขึ้นที่ควรจะเป็น แต่พวกเราไม่สามารถเป็นมนุษย์แบบนั้นได้ ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพระคริสต์ องค์ราชา เหตุเพราะว่า ชายคนที่สาม มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเขา รับการเปลี่ยนแปลง
One man died in sin One man died for sin One man died to sin
ท้ายที่สุด ชายคนที่สาม คือ ชายที่ตายต่อความบาป ชายผู้นี้เป็นตัวแทนของ กลุ่มประชากรใหม่ ผู้ซึ่งได้รับการทรงสร้างตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และ ได้รับการไถ่แล้วผ่านทางพระคริสต์ ชายผู้นี้ได้ตอบสนอง ต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณของพระเจ้ากระทำกิจภายในชีวิตของเขา และเปิดตาใจ ให้เห็นถึงความจริงฝ่ายวิญญาณ ในเหตุการณ์ตอนนี้ ชายที่เป็นอาชญากร ได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่แล้ว มีความสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้า พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขามีความสัมพันธ์ใหม่นี้ได้อย่างไรครับ ผ่าน สาม R ครับ
คนหนึ่ง ตาย อยู่ในความบาป
R ตัวแรก ครับ การรับการรื้นฟื้นความสัมพันธ์กับพระเจ้าพระบิดา ในความยำเกรงในพระองค์ สิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับเขาคือ เขามีความรู้สึกยำเกรง เขากล่าวกับชายคนแรกว่า “เจ้าไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือ” ความยำเกรงพระเจ้าเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้า เป็นความรู้สึกเกรงกลัว สะพึงกลัวที่เราเข้ามาอยู่ภายใต้การทรงสถิตของพระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ ความกลัวเกรงพระเจ้าเป็นสิ่งที่เราต้องตระหนักและพัฒนาให้เกิดขึ้น ความกลัวเกรงพระเจ้าจะช่วยปกป้องเราจากการทำความชั่วร้ายทั้งปวง
คนที่สอง ตาย เพื่อชำระความบาป
R ตัวที่สองครับ อย่าต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการกลับใจจากบาป เมื่อพระวิญญาณบริสุทธ์ิทรงกระทำกิจในจิตใจของเรา เราจะเริ่มต้นเป็นอย่างชัดเจน กระจ่างแจ้งว่า แท้จริง เราเป็นคนบาป พระวิญญาณจะเตือนสติเราให้สำนึกถึงการใช้ชีวิตที่ยังอยู่ในความบาปของเรา และ นำเราสู่การกลับใจ ชายที่เป็นอาชญกรคนที่สอง ได้กล่าวว่า “ และเราทั้งสองก็สมควรกับโทษนั้นจริง เพราะเราได้รับผลสมกับการกระทำ แต่ท่านผู้นี้ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย”
คนที่สาม ตาย ต่อความบาป
เมื่อเราสำนึกผิดและกลับใจ เรายอมจำนน ต่อการลงโทษจากบาปในสิ่งที่เราสมควรจะได้รับ พวกเราหลายคนต้องประสบกับความสัมพันธ์ที่แตกสลาย พวกเราก็สมควรแล้วที่จะได้รับสิ่งนั้น เพราะว่าเราก็มีส่วนในสิ่งนี้ ความเจ็บป่วย ที่เป็นผลมาจากนิสัยที่ไม่ดีบางอย่างของเรา พวกเราก็สมควรแล้วที่จะได้รับ พวกเราไม่ต้องไปโทษคนอื่นเลยสำหรับความทุกข์ยากลำบากของเรา การกลับใจคือการที่เราบอกกับตัวเองว่า ไม่ขัดขืนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกต่อไป พวกเราอธิษฐานขอการช่วยเหลือจากพระองค์
สุดท้ายแล้ว การต้อนรับพระคริสต์เป็นจอมเจ้านายและองค์ราชา พวกเรายอมจำนนกับพระองค์ พวกเราไม่ได้ร้องขอให้พระองค์ต้องทำตามใจปราถนาของเราอีกต่อไป เหมือนอย่างอย่างโจรที่ไม้กางเขนคนแรกที่ร้องขอให้พระเจ้านำเขาลงจากไม้กางเขน พวกเราไม่ได้ร้องขอให้พระเจ้าช่วยเราจากการทนทุกข์ทรมานของพวกเรา ออกจากความเจ็บปวด หรือ สถานการณ์ที่ยากลำบากโดยปราศจากการกลับใจ “จงช่วยตัวเองกับเราทั้งสองให้รอดเถิด” ซึ่งเป็นคำอธิษฐานร้องทูลของโจรคนแรกกับพระบุตรของพระเจ้า สิ่งที่เขาได้รับคำตอบจากพระเจ้า คือ ความเงียบงัน
These three crosses are the perfect summary of the salvation plan of God, the gospel story with Christ at the center literally, to save us from dying in sin, as represented by the first man. The second man in the middle is Jesus, the righteous man, who has died for our sins. Through Jesus, and out of the brokenness and hopelessness of our sinful nature in this fallen world, our souls are redeemed, and restored, so we no longer have to live and die in sin, but die to sin and live to God, as represented by the third man.
โจรคนที่สอง ในทางตรงกันข้าม เขาตระหนักว่า พระเยซู ทรงเป็นพระคริสต์และองค์ราชา เขากล่าวกับพระองค์ว่า “พระเยซู ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในแผ่นดินของพระองค์” โจรคนนี้เขาไม่ได้เรียกร้องสิ่งใด เขาเพียงแต่ต้องการให้ พระคริสต์ องค์ราชา ทรงระลึกถึงเขาเมื่อพระองค์เสด็จมาทรงปกครองและพิพากษาคนเป็นและคนตาย
ไม้กางเขนทั้งสามสะท้อนถึง หัวใจของแผนการแห่งความรอดจากพระเจ้า เรื่องราวพระกิตติคุณซึ่งมี พระคริสต์เป็นศูนย์กลางในการดำเนินเรื่อง เพื่อช่วยเราให้รอดพ้นจากการตาย อยู่ในความบาป ซึ่งเปรียบเทียบเหมือนกับชายคนแรก ชายคนที่สองที่อยู่ตรงกลาง ก็คือ พระเยซู ผู้ทรงความชอบธรรม ซึ่งต้องสิ้นพระชนม์เพื่อชำระความบาปของเรา โดยทางพระเยซู ในสภาพของโลกแห่งความบาปที่เต็มไปด้วย ความสิ้นหวังและ การแตกสลาย จิตวิญญาณของพวกเราได้รับการไถ่ และ บูรณะฟื้นฟู เพื่อที่ว่า เราจะไม่ต้องอยู่และตายในความบาปอีกต่อไป แต่ เราสามารถที่จะตาย ต่อความบาปและมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า ซึ่งเปรียบเทียบเหมือน คนที่สาม
Now, let’s look at each man in a bit more details. ซึ่งผมอยากจะลงรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับ สามคนนี้
สิ่งที่น่าประหลาดใจ คือ พระเยซูทรงตรัสตอบกับโจรคนนี้ว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” คำพูดนี้ได้ตอกย้ำกับโจรคนนี้ถึงความเชื่อของเขา และของพวกเราที่นี้ด้วยเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องรอคอยในอนาคต แต่เป็นสำหรับ วันนี้และปัจจุบันนี้ คำพูดนี้ของพระองค์ได้ให้ความสบายใจกับโจรคนนี้ถึงพระคุณที่เขาไม่สมควรจะได้รับ แท้จริงแล้ว ไม่มีใครคู่ควรจะได้รับ ซึ่งเป็นความหมายที่แท้จริงถึงพระคุณ พระคุณที่เป็นพระกิตติคุณของพระคริสต์ องค์ราชา พระผู้ช่วยให้รอดและองค์จอมเจ้านายของพวกเรา
The first man who died in sin represented everyone in the story. He said to Christ in a mocking tone in v. 39 “Are you not the Christ? Save yourself and (save) us.” Interestingly, all other groups of people which are the rulers and the soldiers said and do the same things. They mocked or insulted Jesus on his kingship asking Him to save Himself. The rulers said in v.35 “He saved others; let him save himself if he is God’s Messiah, the Chosen One”. In v. 37, the soldiers said “If you are the king of the Jews, save yourself”.
ชายคนแรกซึ่งตายอยู่ในความบาป นั้นเปรียบเหมือนกับพวกเราทุกคน ชายคนนี้เยาะเย้ยและหมิ่มประมาทพระคริสต์ ในข้อที่ 39 “เจ้าเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ? จงช่วยตัวเองกับเราทั้งสองให้รอดเถิด” คนทั้งหมดในเวลานั้นไม่ว่าจะเป็น คณะผู้ปกครอง และบรรดาทหาร ต่างพูด และทำเหมือนกัน คือ พวกเขาเยาะเย้ยและหมิ่นประมาทพระเยซูถึง ความเป็นกษัตริย์ของพระองค์ โดยกล่าวเยาะเย้ยพระองค์ ให้ทรงช่วยตัวเองให้รอด บรรดาผู้นำก็กล่าวกับพระองค์
ในข้อ 35 “เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้ ก็ให้เขาช่วยตัวเองด้วยซิ ถ้าหากเขาเป็นพระคริสต์ของพระเจ้าที่ทรงเลือกไว้”
ข้อ 37 “ถ้าเจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวก็จงช่วยตัวเองให้รอดเถิด”
Are we all not in that spirit? If we were put on the cross or in any suffering we would not hesitate to “save ourselves”, to think of ourselves first. The first dying man come to represent all of us because we are all in the same spirit. What spirit is that? Do you remember the story when Jesus is tempted in the wilderness? “If you are the son of God, tell this stone to become bread” (4:3). In another word, “if you are the son of God, save yourself. Why dying of hunger?” who said that? It is the devil. This devil is the spirit that still tempts and deceives: “Why wait for God? Is God for real? Does God care?” “Save yourself”. Everyone follows, which is why our world becomes broken and in much pains.
พวกเราจริงแล้วก็มีวิญญาณท่าทีแบบนี้เช่นกัน ถ้าสมมติว่า เรากำลังถูกตรึงอยู่ที่กางเขน และอยู่ในสภาพที่ทุกข์ทรมาน พวกเราคงจะไม่ลังเลที่จะช่วยตัวเราเองก่อน เพราะเราจะคิดถึงตัวเองก่อนเสมอ ชายคนแรกที่กำลังขาดใจตายก็คือ พวกเราทุกคนที่นี่ เพราะว่า เราต่างมีวิญญาณหรือท่าทีแบบชายคนแรกนี้ วิญญาณที่พูดถึงเป็นแบบไหนครับ เราจำได้มั้ยถึงเหตุการณ์ที่ พระเยซูทรงถูกทดลองในถิ่นทุรกันดาร “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นขนมปัง” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงช่วยตัวเองให้รอดเถิด ทำไมต้องปล่อยตัวเองให้ต้องตายเพราะความหิวโหย” ใครเป็นคนพูดประโยคเหล่านี้ครับ มารใช่มั้ย มารยังคงเป็นวิญญาณแห่งการทดลองและ การหลอกลวง “ทำไมต้องรอคอยเพื่อพระเจ้า พระเจ้ามีจริงหรือเปล่า พระเจ้าทรงห่วงใยเราจริงหรือเปล่า ช่วยตัวเราเองก่อนดีกว่ามั้ย และทุกคนบนแผ่นดินโลกนี้ก็ตกอยู่ในการล่อลวงของมาร นั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม โลกนี้จึงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และการแตกสลาย
Interestingly, the rulers in the story are the religious leaders, who are supposed to know the Bible and God well, just like most of us here this morning. But why they end up rejecting God? In
Acts 7:51 Stephen, the martyr, said to them “You stiff-necked people! Your hearts and ears are still uncircumcised. You are just like your ancestors: You always resist the Holy Spirit!” When we habitually resist the Holy Spirit, we are exposed to and are deceived by the spirit of devil to live for ourselves, and eventually to die in our sins.
ที่น่าสนใจคือ ผู้นำในเวลานั้น ต่างเป็นผู้นำศาสนา ผู้ซึ่งมีความรู้ เชี่ยวชาญในพระคัมภีร์และพระเจ้าเป็นอย่างดี ก็คงเหมือนกับเราหลายๆคนที่นี่ในเช้าวันนี้ แล้วทำไมสุดท้าย ผู้นำเหล่านี้กลับปฏิเสธพระเจ้า ในกิจการ 7:51 สเตเฟน ผู้ซึ่งสละชีวิตเพื่อข่าวประเสริฐ กล่าวกับผู้นำศาสนาว่า “เจ้าพวกคนหัวแข็ง ใจดื้อดึง และหูตึง พวกท่านขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทำอย่างไร พวกท่านก็ทำอย่างนั้น” เมื่อไรก็ตามที่เราขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธ์ิอยู่เสมอๆ เรากำลังตกอยู่ภายใต้ความหลอกลวงของวิญญาณของมาร ดำเนินชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง และท้ายที่สุด เราก็จะตายอยู่ในความบาปของตนเอง
The man in the middle was the man who died for sin. He is our Christ, and our King. The battle our king fought was a spiritual one. With obedience and humility, he has fulfilled what God has required of him, which is to be the sacrificial lamb for the sins of his people. In his last moment, he died in agony, not just in the body but in his soul, not for Himself, but for others, including His enemies, particularly for them. He prayed “Father, forgive them, for they do not know what they are doing” v.34. Our king, the Lord of heaven comes down as a man, lives like a man dies like a men. The type of man that we all are created to be, but never be able to on our own. Thankfully, God had answered the prayer of Christ the King, as for the third man something started to change.
ชายที่อยู่ตรงกลาง คือชายที่ตายเพื่อความบาป ชายผู้นี้คือ พระคริสต์ของเรา องค์ราชาของเรา สนามรบของกษัตริย์ของพวกเราคือ ในด้านจิตวิญญาณ พระองค์ทรงยอมเชื่อฟังและถ่อมพระองค์ลง เพื่อที่จะทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จในพระองค์ ซึ่งน้ำพระทัยนั้นก็คือ การที่ทรงเป็นพระเมษโปดก เป็นลูกแกะสำหรับการไถ่โทษบาป ของประชากรของพระองค์ ในช่วงวาระสุดท้ายก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ด้วยความทรมานแสนสาหัส ไม่เพียงแต่ทางด้านร่างกาย แต่ จิดวิญญาณด้วยเช่นกัน ไม่ใช่เพื่อตัวพระองค์เอง แต่เพื่อผู้อื่น ซึ่งรวมถึงแม้กระทั่งผู้ที่เป็นศัตรูของพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่นำพระองค์มาตรึงที่กางเขน พระองค์ทรงอธิษฐานในข้อ 34 ว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” องค์ราชาของพวกเรา จอมเจ้านายแห่งฟ้าสวรรค์ เสด็จลงมารับสภาพเป็นมนุษย์ ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์หนึ่งคน และสิ้นพระชนม์เหมือนกับมนุษย์ปุถุชน ทรงเป็นมนุษย์ในแบบอย่างที่พวกเราซึ่งได้รับการสร้างขึ้นที่ควรจะเป็น แต่พวกเราไม่สามารถเป็นมนุษย์แบบนั้นได้ ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพระคริสต์ องค์ราชา เหตุเพราะว่า ชายคนที่สาม มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเขา รับการเปลี่ยนแปลง
Finally, the third man was the man who died to sin. He represented a new group of people, who were created according to the will of God and through the sacrifice of Christ. He responded to the Holy Spirit. The Spirit of God had moved in him and open the eyes of his soul to see the spiritual reality. In the story, the criminal became a new man, who had a new relationship with God the Father, the Son, and the Holy Spirit. How? In 3Rs
ท้ายที่สุด ชายคนที่สาม คือ ชายที่ตายต่อความบาป ชายผู้นี้เป็นตัวแทนของ กลุ่มประชากรใหม่ ผู้ซึ่งได้รับการทรงสร้างตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และ ได้รับการไถ่แล้วผ่านทางพระคริสต์ ชายผู้นี้ได้ตอบสนอง ต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณของพระเจ้ากระทำกิจภายในชีวิตของเขา และเปิดตาใจ ให้เห็นถึงความจริงฝ่ายวิญญาณ ในเหตุการณ์ตอนนี้ ชายที่เป็นอาชญากร ได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่แล้ว มีความสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้า พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขามีความสัมพันธ์ใหม่นี้ได้อย่างไรครับ ผ่าน สาม R ครับ
Firstly, Renew relationship with God the Father in fear. The first thing that happened to him is the sense of fear. He said to the other criminal “Don’t you fear God” This is the starting point of our new relationship with God. It is the sense of awe in the presence of the Divine holiness. The fear of God is something we need to recognize and cultivate. It prevents us from committing a willful sin.
R ตัวแรก ครับ การรับการรื้นฟื้นความสัมพันธ์กับพระเจ้าพระบิดา ในความยำเกรงในพระองค์ สิ่งแรกที่เกิดขึ้นกับเขาคือ เขามีความรู้สึกยำเกรง เขากล่าวกับชายคนแรกว่า “เจ้าไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือ” ความยำเกรงพระเจ้าเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้า เป็นความรู้สึกเกรงกลัว สะพึงกลัวที่เราเข้ามาอยู่ภายใต้การทรงสถิตของพระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ ความกลัวเกรงพระเจ้าเป็นสิ่งที่เราต้องตระหนักและพัฒนาให้เกิดขึ้น ความกลัวเกรงพระเจ้าจะช่วยปกป้องเราจากการทำความชั่วร้ายทั้งปวง
Secondly, Resist not the Holy Spirit in repentance. When the Holy Spirit does his work in our soul, we begin to see clearly who we really are, a sinner. The Spirit convicts us of our ungodly lifestyle, and prompts us to repent. The second criminal said ““We are punished justly, for we are getting what our deeds deserve. But this man has done nothing wrong.”
R ตัวที่สองครับ อย่าต่อต้านพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการกลับใจจากบาป เมื่อพระวิญญาณบริสุทธ์ิทรงกระทำกิจในจิตใจของเรา เราจะเริ่มต้นเป็นอย่างชัดเจน กระจ่างแจ้งว่า แท้จริง เราเป็นคนบาป พระวิญญาณจะเตือนสติเราให้สำนึกถึงการใช้ชีวิตที่ยังอยู่ในความบาปของเรา และ นำเราสู่การกลับใจ ชายที่เป็นอาชญกรคนที่สอง ได้กล่าวว่า “ และเราทั้งสองก็สมควรกับโทษนั้นจริง เพราะเราได้รับผลสมกับการกระทำ แต่ท่านผู้นี้ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย”
When we repent, we accept that we deserve the punishment. Many if not all of us have a broken relationship. We deserve it since we ourselves contribute to that too. The illness, as a result of bad habits, we deserve it. The economic hardships due to the lack of financial discipline, we deserve it. We no longer look to blame others for our sufferings. In repentance, we say that we no longer want to resist the Holy Spirit. We pray for his help.
เมื่อเราสำนึกผิดและกลับใจ เรายอมจำนน ต่อการลงโทษจากบาปในสิ่งที่เราสมควรจะได้รับ พวกเราหลายคนต้องประสบกับความสัมพันธ์ที่แตกสลาย พวกเราก็สมควรแล้วที่จะได้รับสิ่งนั้น เพราะว่าเราก็มีส่วนในสิ่งนี้ ความเจ็บป่วย ที่เป็นผลมาจากนิสัยที่ไม่ดีบางอย่างของเรา พวกเราก็สมควรแล้วที่จะได้รับ พวกเราไม่ต้องไปโทษคนอื่นเลยสำหรับความทุกข์ยากลำบากของเรา การกลับใจคือการที่เราบอกกับตัวเองว่า ไม่ขัดขืนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกต่อไป พวกเราอธิษฐานขอการช่วยเหลือจากพระองค์
Finally, Receive Christ as our Lord and King. We submit and surrender. We do not ask our King to do our will, like the first criminal who demand that God get him down from the cross. We do not ask God to get us out of our suffering, out of the pain, or a difficult situation without repentance. “Save yourself, and save us” was the prayer of the first criminal to God the son. What he got in return was a silence from God.
สุดท้ายแล้ว การต้อนรับพระคริสต์เป็นจอมเจ้านายและองค์ราชา พวกเรายอมจำนนกับพระองค์ พวกเราไม่ได้ร้องขอให้พระองค์ต้องทำตามใจปราถนาของเราอีกต่อไป เหมือนอย่างอย่างโจรที่ไม้กางเขนคนแรกที่ร้องขอให้พระเจ้านำเขาลงจากไม้กางเขน พวกเราไม่ได้ร้องขอให้พระเจ้าช่วยเราจากการทนทุกข์ทรมานของพวกเรา ออกจากความเจ็บปวด หรือ สถานการณ์ที่ยากลำบากโดยปราศจากการกลับใจ “จงช่วยตัวเองกับเราทั้งสองให้รอดเถิด” ซึ่งเป็นคำอธิษฐานร้องทูลของโจรคนแรกกับพระบุตรของพระเจ้า สิ่งที่เขาได้รับคำตอบจากพระเจ้า คือ ความเงียบงัน
The 2nd criminal, on the other hand, recognized Jesus, as Christ and King. He said “Jesus, remember me when you come into your kingdom.”
Luke 23:42. He did not make a demand. He simply asked Christ the King to remember him when He come to rule and to judge the living and the dead.
โจรคนที่สอง ในทางตรงกันข้าม เขาตระหนักว่า พระเยซู ทรงเป็นพระคริสต์และองค์ราชา เขากล่าวกับพระองค์ว่า “พระเยซู ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปในแผ่นดินของพระองค์” โจรคนนี้เขาไม่ได้เรียกร้องสิ่งใด เขาเพียงแต่ต้องการให้ พระคริสต์ องค์ราชา ทรงระลึกถึงเขาเมื่อพระองค์เสด็จมาทรงปกครองและพิพากษาคนเป็นและคนตาย
Surprisingly, Jesus said to him “Truly I tell you, today you will be with me in paradise.” This word affirms him of his faith and ours too, not in the far future but in here and now “today”. This word comforts him with grace he did not deserve. In fact, no one deserves, which is the definition of grace. This is the Gospel of Christ the King, our savior and our Lord.
สิ่งที่น่าประหลาดใจ คือ พระเยซูทรงตรัสตอบกับโจรคนนี้ว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” คำพูดนี้ได้ตอกย้ำกับโจรคนนี้ถึงความเชื่อของเขา และของพวกเราที่นี้ด้วยเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องรอคอยในอนาคต แต่เป็นสำหรับ วันนี้และปัจจุบันนี้ คำพูดนี้ของพระองค์ได้ให้ความสบายใจกับโจรคนนี้ถึงพระคุณที่เขาไม่สมควรจะได้รับ แท้จริงแล้ว ไม่มีใครคู่ควรจะได้รับ ซึ่งเป็นความหมายที่แท้จริงถึงพระคุณ พระคุณที่เป็นพระกิตติคุณของพระคริสต์ องค์ราชา พระผู้ช่วยให้รอดและองค์จอมเจ้านายของพวกเรา