พระเยซู ปุโรหิตนิรันดร์ตามแบบอย่างเมลคีเซเดค
Notes
Transcript
พระเจ้าสถิตกับท่าน (และสถิตกับท่านด้วย)
บทนำ
เรากำลังอยู่ในช่วงสัปดาห์ฉลองอีสเตอร์ หรือ เฉลิมฉลองการคืนพระชนม์ของพระเยซูอยู่นะครับ บางคนอาจจะสงสัยว่า อีสเตอร์น่าจะจบลงแล้ว ในวันอาทิตย์คืนพระชนม์ที่ผ่านมา แต่ความจริงแล้ว ตามปฏิทินคริสเตียน เทศกาลอีสเตอร์ หรือ เทศกาลเฉลิมฉลองการคืนพระชนม์ของพระคริสต์ไม่ได้สิ้นสุดลงแค่วันอาทิตย์คืนพระชนม์ครับ เทศกาลอีสเตอร์ จะเริ่มต้นจากวันอาทิตย์คืนพระชนม์ที่ผ่านมา นับไปอีก 40 วัน จนถึงวันที่พระคริสต์เสด็จขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ หรือ 50 วัน จนถึงวันเพนเทคอสต์ วันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เทลงมายังบรรดาผู้เชื่อที่อธิษฐานรอคอยอยู่ในห้องชั้นบน ดังนั้นเราจึงยังอยู่ในช่วงความเปรมปรี ยินดี เพราะว่าพระเยซู ยังทรงพระชนม์อยู่ และทรงสถิตอยู่กับเรา อาเมนมั้ยครับ
ดังนั้น เมื่อ เรายังอยู่ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ อยู่ในช่วงแห่งความชื่นชมยินดี ระลึกถึงการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ และมีประสบการณ์ร่วมในชีวิตของเรา เพราะพระเยซูทรงพระชนม์อย่างแท้จริงในชีวิตของเรา ไม่ว่าเรากำลังเผชิญกับสิ่งใดอยู่ในเวลานี้ ปัญหาด้านการว่างงาน การเงิน ถูกลดเงินเดือน เศรษฐกิจที่ฟืดเคือง ปัญหาปากท้อง ผมเชื่อว่าพี่น้อง เราจะสามารถผ่านวิกฤตการณ์เหล่านี้ ไปได้ เพราะว่า พระเจ้าทรงสถิตกับเรา ในเวลานี้ไม่มีอะไรจะดีไปกว่า การได้เข้ามาร้องทูลกับพระเจ้า ฝากภาระความวิตกกังวลใจไว้กับพระองค์ ขอความช่วยเหลือ สติปัญญาจากพระองค์ให้สามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้ ให้พระองค์ทรงเป็นป้อมปราการ เป็นกำลัง และที่ลี้ภัยของเรา สำหรับผู้เชื่อที่พอมีกำลัง ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่ดีที่สุด ที่เราจะได้มีโอกาสหยิบยื่น ความช่วยเหลือ ให้กับผู้ที่กำลังอยู่ในวิกฤตการณ์นี้ เป็นการสำแดงความรัก “รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” อย่างเป็นรูปธรรม ผมเชื่อว่าหลายๆ คริสตจักรก็กำลังมีส่วนให้ความช่วยเหลือแก่คนที่ลำบากอยู่ในเวลานี้ ผมอยากเชิญชวนให้พี่น้องที่พอมีกำลังร่วมกับทางคริสตจักรของพี่น้องนะครับ ในการให้ความช่วยเหลือนี้ พี่น้องที่ไคร้สตเชิช กรุงเทพฯ ที่มีภาระใจสามารถติดต่อกับอาจารย์ได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์แอนดูรว์ อาจารย์นพดล อาจารย์ลาพร หรือตัวผมเอง
อีกประการหนึ่งคือ ประสบการณ์ การคืนพระชนม์ของพระคริสต์ ไม่เพียงแต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกว่าสองพันปีที่แล้ว ทั้งประวัติศาสตร์มนุษยชาติ มีเพียงพระเยซู คริสต์ผู้เดียวเท่านั้น ที่คืนพระชนม์ รับสภาพกายใหม่ และไม่ต้องตายอีกต่อไป พระคริสต์ทรงเป็นผลแรกในการคืนพระชนม์แบบนี้ครับ ดังนั้นประสบการณ์การคืนพระชนม์ของพระคริสต์ ช่วยให้เรามีความหวังใจร่วมกันกับผู้เชื่อทั้งหลายว่า วันหนึ่งเราก็จะเป็นเหมือนกับพระองค์คือ ได้รับร่างกายใหม่เหมือนพระคริสต์ มีชีวิตนิรันดร์ที่ปราศจากความตายครั้งที่สอง ด้วยความหวังใจนี้ เหตุการณ์ความยากลำบากในเวลานี้ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ จึงเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว และแสนสั้น สั้นมากๆ เมื่อเทียบกับชีวิตนิรันดร์ที่เราได้รับแล้วในอาณาจักรของพระคริสต์ อาเมนมั้ยครับ
ในคำเทศนาครั้งที่แล้ว ในหัวข้อ พระเยซู คริสต์ มหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ ในฮีบรู บทที่ 4 และ 5 ผมได้กล่าวในตอนต้นว่า ผมจะยังไม่อธิบายถึง “พระเยซูทรงเป็นมหาปุโรหิตชั่วนิรันดร์ตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค” ว่าหมายความอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับปุโรหิตเผ่าเลวีที่สืบเชื้อสายมาจากอาโรน ผ่านทางธรรมบัญญัติในพระธรรมอพยพและเลวีนิติ เพราะมีการขยายความเข้าใจนี้ในบทที่ 7 ซึ่งเป็นคำเทศนาในวันนี้
คำถามที่สำคัญ มี สาม คำถาม สำหรับพระคัมภีร์ตอนนี้ คือ ประการที่ หนึ่ง ทำไมต้องมี ปุโรหิตตามแบบอย่างเมลคีเซเดค ก็ในเมื่อเรามี ปุโรหิตเผ่าเลวีที่สืบทอดเชื้อสายมาจากอาโรน ผ่านทางธรรมบัญญัติ ซึ่งคำตอบจะอยู่ในข้อที่ 1-10
ประการที่สอง ทำไม ปุโรหิตตามแบบอย่างเมลคีเซเดค จึงเหนือกว่า และดีกว่า ปุโรหิตเผ่าเลวีที่สืบทอดเชื้อสายมาจากอาโรน
ประการสุดท้ายครับ ประการที่สาม แล้วความเข้าใจนี้ มีความหมาย ส่งผลอย่างไรในชีวิตของเรา และเราควรตอบสนองอย่างไร ในฐานะที่เป็นผู้เชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ไม่ใช่คนอิสราเอล (ข้อที่ 20-28)
ผมจะเริ่มจากคำถามในข้อที่หนึ่งก่อน ครับ
ทำไม ต้องมี ปุโรหิตตามแบบอย่างเมลคีเซเดค ก็ในเมื่อมี ปุโรหิตเผ่าเลวี ที่สืบเชื้อสายมาจากอาโรน ผ่านทางธรรมบัญญัติ อยู่แล้ว
เพราะตามความเข้าใจของคนยิว มีเพียงปุโรหิตสายเดียว คือ จากเผ่าเลวี ตามที่พระเจ้าทรงบัญชาไว้ ผ่านทาง โทราห์ใน อพยพ และ เลวีนิติ ดังนั้นเมื่อ พันธสัญญาใหม่ บอกว่า พระเยซู ทรงเป็นมหาปุโรหิต ผู้ยิ่งใหญ่ จึงมีคำถามที่สำคัญสำหรับคนยิว และแม้กระทั่งผู้เชื่อเองในศตวรรษที่หนึ่งว่า แล้วพระเยซู คริสต์ทรงเป็นมหาปุโรหิตได้อย่างไร เพราะตามธรรมบัญญัติ ปุโรหิต ต้องมาจากเผ่าเลวี ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากอาโรน แต่พระเยซูคริสต์ ทรงสืบเชื้อสายมาจาก กษัตริย์ดาวิด ซึ่งมาจากเผ่ายูดาห์
พบในข้อที่ 14 “เพราะเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทรงสืบเชื้อสายมาจากเผ่ายูดาห์ และโมเสสก็ไม่เคยกล่าวว่าจะมีปุโรหิตมาจากเผ่านั้นเลย”
อย่างที่เราทราบๆกันว่า เชื่อกันว่า พระธรรมฮีบรู เขียนขึ้นสำหรับผู้เชื่อที่เป็นคนยิว คำถามนี้จึง ถือเป็นคำถามที่สำหรับคนยิวแล้ว ถือเป็นคำถามที่สำคัญมากทางด้านศาสนศาสตร์ เพราะมันขัดแย้งโดยตรงต่อ สิ่งที่พวกเขาเคยยึดถือไว้ในโทราห์
ดังนั้นในข้อที่ 1-10 พระเจ้ากำลังบอกกับพวกเขาว่า ความจริง ยังมีปุโรหิตอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งพระเจ้าทรงตั้งไว้และอยู่ในโทราห์ด้วยคือ ปุโรหิตตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค พบใน ปฐมกาล บทที่ 14 ปุโรหิตผู้นี้มีความพิเศษมาก เพราะว่าเป็นทั้งกษัตริย์ และ เป็นทั้งปุโรหิต ในข้อที่ 1 “เมลคีเซเดค ผู้นี้คือ กษัตริย์เมืองซาเลม เป็นปุโรหิตของพระเจ้าสูงสุด มาพบอับราฮัมขณะที่อับราฮัมกำลังกลับมาจากการรบชนะกษัตริย์ทั้งหลาย...”
ในข้อที่สอง ได้บรรยายถึงเมลคีเซเดค ว่า ชื่อมีความหมายในภาษาฮีบรู หมายถึง กษัตริย์แห่งความชอบธรรม และ เมืองซาเลม ก็มีความหมายถึง สันติสุข ดังนั้น เมลคีเซเดค จึงเป็นกษัตริย์แห่งสันติสุขด้วย ซาเลม ก็มาจาก ภาษาฮีบรูว่า ชาโลม ซึ่งหมายถึง สันติสุข สวัสดิภาพ
นอกจากเป็นกษัตริย์แล้ว เมลคีเซเดคยังเป็นปุโรหิตของพระเจ้าสูงสุดอีกด้วย บทบาทของปุโรหิตที่เมลคีเซเดคทำ มีอะไรบ้างครับ ให้เรากลับไปที่ ปฐมกาล บทที่ 14 ในข้อ 18-20 “เมลคีเซเดคผู้เป็นทั้งกษัตริย์ซาเลมและปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ก็นำขนมปังกับเหล้าองุ่นมาให้ 19แล้วอวยพรท่าน กล่าวว่า “ขอให้อับรามรับพรจากพระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 20ขอพระเกียรติเป็นของพระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ทรงมอบศัตรูทั้งหลายไว้ในมือของท่าน” อับรามก็มอบหนึ่งในสิบจากข้าวของทั้งหมดนั้นถวายแก่กษัตริย์เมลคีเซเดค”
เมลคีเซเดค ทำหน้าที่ปุโรหิตของพระเจ้าสูงสุด อยู่ 3 อย่าง ในพระคำตอนนี้ คือ หนึ่ง นำขนมปังและเหล้าองุ่นมาให้อับราม เป็นการสามัคคีธรรมร่วมกับพระเจ้าผ่านทางมื้ออาหาร และประการที่สอง ท่านทำหน้าที่เป็นตัวแทนพระเจ้าในการ “อวยพร” แก่อับรามให้รับพระพรจากพระเจ้าผู้สูงสุด และประการที่สาม คือ ท่านรับหนึ่งในสิบของข้าวของหรือ ทศางค์ จากอับราม
เมลคีเซเดค เป็นบุคคลที่มีความพิเศษอย่างมาก ในพระธรรมปฐมกาล เพราะว่า ไม่มีบันทึกถึง บรรพบุรุษของท่าน และ การเกิดและการตายของท่าน เพราะปกติใน ปฐมกาล จะมีการบันทึกว่า บุคคลนี้ เป็นลูกของบุคคลนี้ และเมื่อท่านอายุเท่านี้ก็สิ้นอายุขัย แต่สำหรับเมลคีเซเดค มาปรากฏตัวใน ปฐมกาลบทที่ 14 แบบไม่มีที่มาที่ไป จู่ๆ ก็ปรากฏชื่อท่านออกมา เพื่อทำหน้าที่ปุโรหิตของพระเจ้าสูงสุดให้กับอับราม จากนั้น ชื่อนี้ก็หายไปเลยจาก ปฐมกาล ไม่มีการพูดถึงท่านอีกเลย หายไปเฉยๆ
ชื่อของ เมลคีเซเดค มาปรากฏอีกครั้งในพระธรรมสดุดี บทที่ 110:4 บทสดุดี ที่เป็นคำพยากรณ์ถึง พระผู้ช่วยให้รอดที่เป็นทั้ง กษัตริย์ และ เป็นปุโรหิต นิรันดร์ ตามอย่างเมลคีเซเดค ปฐมกาล กล่าวแต่เพียงว่า เมลคีเซเดค เป็นทั้งกษัตริย์และปุโรหิตของพระเจ้าสูงสุด แต่ในพระธรรมสดุดี ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ท่านเป็นปุโรหิตนิรันดร์ หมายถึงไม่มีจุดเริ่มต้น และสิ้นสุด
สดุดี 110:4 “...เจ้าเป็นปุโรหิตนิรันดร์ ตามอย่างเมลคีเซเดค”
ดังนั้น ในพระธรรมฮีบรู จึงเปรียบเทียบ เมลคีเซเดค ว่าเปรียบเหมือนกับ แบบจำลอง ของ พระเยซู คริสต์ ผู้ทรงเป็น ปุโรหิตนิรันดร์ ปุโรหิตซึ่งไม่จำเป็นต้องสืบเชื้อสายมาจากอาโรน เพื่อตอบคำถามผู้เชื่อชาวยิวเหล่านั้นที่อาจจะหันกำลังกลับไปสู่ความเชื่อเดิมในระบบปุโรหิตแบบเดิม และสงสัยหรือตั้งคำถามในความเป็นมหาปุโรหิตของพระเยซูคริสต์ และ การไถ่ชำระด้วยโลหิตของพระองค์ในฐานะของพระเมษโปดกของพระเจ้า
คำถามที่สอง แล้วทำไม ปุโรหิตตามแบบอย่างเมลคีเซเดค จึงเหนือกว่า และดีกว่า ปุโรหิตเผ่าเลวี ผ่านทางธรรมบัญญัติ
นอกจากพระธรรมฮีบรู บอกกับผู้เชื่อชาวยิวเหล่านั้นว่า แท้จริงแล้วในโทราห์ พระเจ้าทรงตั้งให้มีปุโรหิตนอกเหนือจากปุโรหิตจากเผ่าเลวีตามธรรมบัญญัติของโมเสสแล้ว ปุโรหิตตามแบบอย่างเมลคีเซเดคยังมีสถานะที่เหนือกว่า และดีกว่า ปุโรหิตตามแบบของอาโรนอีกด้วย
มีอยู่สามเหตุผลด้วยกันครับ ว่าทำไมเหนือกว่า และ ดีกว่า
ประการที่ 1 เพราะว่า เมลคีเซเดค รับทศางค์ และ อวยพร แก่ อับราม พบในข้อ 7-10
“สิ่งที่ค้านไม่ได้คือ ผู้น้อย เป็นผู้รับพร และผู้ใหญ่เป็นผู้ให้พร ... เลวีผู้รับทศางค์นั้นก็ได้ถวายทศางค์ทางอับราฮัม 10เพราะว่าขณะนั้นเลวียังอยู่ในสายเลือดของบรรพบุรุษ คืออับราฮัม ขณะที่เมลคีเซเดคมาพบกับอับราฮัม”
พระคัมภีร์ตอนนี้ชัดเจนครับ ว่า ปุโรหิตตามแบบอย่างเมลคีเซเดค เหนือกว่า ปุโรหิตจากเผ่าเลวี เพราะในขณะที่ยังเป็นเพียงสายเลือดภายในอับราฮัม ก็มีส่วนในการถวายสิบลด ให้กับเมลคีเซเดคผ่านทางอับราฮัม และ เมลคีเซเดคก็ได้อวยพรแก่อับราฮัม ซึ่งถือว่าเป็นบรรพบุรุษของคนเลวีอีกด้วย ผู้ใหญ่เป็นผู้ให้พรแก่ผู้น้อย
ประการที่ 2 การไถ่ที่บริบูรณ์ผ่านทางพระคริสต์ มหาปุโรหิตนิรันดร์ ตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค เท่านั้น ไม่ใช่ ผ่านทาง ระบบปุโรหิตแบบเลวี
เพราะพระเจ้าประทานการไถ่ ความรอดที่บริบูรณ์ผ่านทางพระคริสต์เท่านั้น ในข้อ ที่ 11
“ดังนั้น ถ้าความบริบูรณ์บรรลุได้ทางระบบปุโรหิตเผ่าเลวี (เพราะว่าประชาชนได้รับธรรมบัญญัติโดยระบบนี้) ทำไมจะต้องมีปุโรหิตอีกตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค ไม่ใช่ตามแบบอย่างของอาโรน?”
และใน สดุดี 110:4 พระเจ้าทรงปฏิญาณ หรือ ภาษาไทยง่ายๆ คือ สาบาน เลยครับ
“พระยาห์เวห์ทรงปฏิญาณแล้วและจะไม่เปลี่ยนพระทัยของพระองค์ “เจ้าเป็นปุโรหิตนิรันดร์ ตามอย่างเมลคีเซเดค”
พระองค์ทรงปฏิญาณครับ และไม่เปลี่ยนใจด้วย ว่า ให้ พระผู้ช่วยให้รอด ที่จะเกิดมาจากเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด เป็นปุโรหิตนิรันดร์ ด้วย เราจะเห็นได้ว่า พระธรรมฮีบรูมีการกล่าวอ้างถึง สดุดี บทนี้ ถึง 3 ครั้งด้วยกัน คือ
บทที่ 5 ข้อ 6 “เจ้าจะเป็นปุโรหิตชั่วนิรันดร์ ตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค”
บทที่ 7 ข้อ 17 “พระเจ้าตรัสว่า เจ้าจะเป็นปุโรหิตชั่วนิรันดร์ ตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค”
บทเดียวกัน ข้อ 21 “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปฏิญาณแล้ว และจะไม่ทรงเปลี่ยนพระทัย เจ้าจะเป็นปุโรหิตชั่วนิรันดร์”
อย่างที่พี่น้องทราบครับ ว่าสำหรับคนยิวแล้ว การกล่าวข้อความใดซ้ำๆ สามครั้ง ในคราวเดียวกัน แสดงให้เห็นว่า ข้อความนั้นมีความสำคัญจริงๆ และ พระเจ้าต้องการย้ำ ซ้ำๆ กับผู้เชื่อใน ฮีบรูว่า ใช่แล้ว พระคริสต์ผู้นี้ เป็นมหาปุโรหิตนิรันดร์ ของพวกเขา ตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค การไถ่ที่บริบูรณ์ผ่านทางพระคริสต์ มหาปุโรหิตนิรันดร์ไม่ใช่ ปุโรหิตจากเผ่าเลวี
แล้วคงจะมีคำถามว่า แล้ว ปุโรหิตเผ่าเลวี พระองค์ทรงตั้งไว้ทำไม พบกับคำตอบในประการที่สามครับ
ประการที่สาม ปุโรหิตตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค เป็นเรื่องชั่วคราว ไม่สมบูรณ์ และ กำลังเสื่อมทรามลง
ในข้อที่ 18 “ในด้านหนึ่ง บัญญัติเดิมนั้นก็ได้ยกเลิกไปเพราะมีจุดอ่อนและไร้ประสิทธิภาพ”
พระเจ้าทรงมีแผนการความรอดของพระองค์สำหรับมนุษย์ ตั้งแต่มนุษย์คู่แรกที่ล้มลงในความบาป เมื่อเวลาผ่านไปพระองค์ทรงค่อยๆ เปิดเผยแผนการความรอดของพระองค์ และ แผนการช่วยกู้ ความรอดก็สำเร็จ เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์ในองค์พระเยซู คริสต์ ปุโรหิตนิรันดร์
ระบบปุโรหิตเดิมที่พระเจ้าตั้งพระทัยผ่านธรรมบัญญัติ ผ่านทางโมเสส ให้เป็นเหมือนกับเงาสะท้อน และเป็นสิ่งชั่วคราว ของ ปุโรหิตของพระเจ้าที่แท้จริง ที่จะเสด็จมาในภายหลัง เสด็จมาในเวลาที่เหมาะสม กลับถูกบิดเบือน และ เสื่อมทรามลงด้วยความบาปของมนุษย์
เพราะปุโรหิต ที่พระเจ้าเลือกให้มาจากครอบครัวของอาโรน กลายเป็นจุดอ่อน เพราะกลายเป็นว่าไม่สำคัญว่า ปุโรหิตคนนั้นจะมีลักษณะชีวิตอย่างไร แต่ขอให้สืบเชื้อสายจากอาโรนก็พอแล้ว เราจึงเห็นตัวอย่าง หลายต่อหลายตัวอย่างในพระคัมภีร์เดิม ที่เป็นปุโรหิตที่มีลักษณะชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น ลูกของอาโรนเอง ปุโรหิตที่ลบหลู่พระเจ้านำไฟต้องห้ามมาถวายพระยาห์เวห์ใน กันดารวิถี 3:4 หรือ ปุโรหิตที่ทำความบาปชั่ว เป็นคนพาล โลภของถวายของพระเจ้า ที่เป็นลูกๆของ เอลี ใน 1 ซามูเอล 2:12
ในพันธสัญญาใหม่ สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่พระเยซู คริสต์ทรงกระทำ เมื่อเข้ามาในพระวิหาร ซึ่งเป็นศูนย์กลางของระบบปุโรหิตเดิม หลังจากเสด็จเข้าเยรูซาเล็มในวันอาทิตย์ใบตาลคืออะไรครับ ในมัทธิว 21:12-17 พระเยซูทรงชำระพระวิหาร คว่ำโต๊ะแลกเงิน และทรงตำหนิบรรดาผู้นำศาสนา ซึ่งแน่นอนรวมถึง มหาปุโรหิตเข้าไปด้วย
ในข้อ 13 พระเยซูทรงตำหนิว่า “นิเวศของเรา เขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐาน แต่พวกท่านมาทำให้เป็นถ่ำของพวกโจร”
ระบบปุโรหิตเผ่าเลวี เสื่อมทรามลงอย่างชัดเจน ตั้งแต่สมัยของโมเสส จนกลายเป็นการ กดขี่ ขูดรีด เอาเปรียบ อย่างเป็นระบบ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า เป็น Structural Evil แทนที่ พระวิหารจะเป็นที่ที่มาพบพระเจ้า และทำสิ่งดีเพื่อผู้ยากไร้ เป็นที่พึ่งของคนยากจน บรรดา ปุโรหิต มหาปุโรหิต กลับหลงในทรัพย์สินเงินทอง เกียรติและอำนาจ และเราก็รู้ดีว่า ระบบนี้เสื่อมทรามลงถึงที่สุด ก็เพราะว่า ระบบนี้ นอกจากมีสถานะต่ำกว่า ปุโรหิตแบบเมลคีเซเดคแล้ว ยังกล้ามา ปะทะ และ ขัดแย้งกับปุโรหิตแบบเมลคีเซเดค โดยการกล่าวโทษพระเยซู และหาเหตุ จับพระเยซู คริสต์ ผู้ทรงเป็นมหาปุโรหิตนิรันดร์ ตามคำปฏิญาณของพระเจ้า ให้ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน อย่างที่เราได้รับรู้มา จากสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์และวันศุกร์ประเสริฐในสัปดาห์ที่แล้ว
ระบบปุโรหิตเดิมที่พระเจ้าตั้งพระทัยผ่านธรรมบัญญัติ ผ่านทางโมเสส ให้เป็นเหมือนกับเงาสะท้อน และเป็นสิ่งชั่วคราว ของ ปุโรหิตของพระเจ้าที่แท้จริง ที่จะเสด็จมาภายหลัง ในเวลาที่เหมาะสม กลับถูกบิดเบือน และ เสื่อมทรามลงด้วยความบาป จนยากจะกอบกู้กลับคืนมา และ ระบบนี้ก็ไม่หลงเหลืออีกเลย หลังจาก พระวิหารถูกทำลายในปี คศ 70 เป็นไปตามคำพยากรณ์ของ พระเยซู คริสต์
เราได้ตอบสองคำถามที่สำคัญมาก สำหรับผู้เชื่อยิวในเวลานั้น เพื่อพิสูจน์ความชอบธรรม ของพระเยซู คริสต์ ในการเป็นปุโรหิตนิรันดร์ และ เป็นปุโรหิตที่ดีกว่า ระบบปุโรหิตเดิมที่ล้มเหลว และเสื่อมทรามลง เพราะความบาปของมนุษย์ เพื่อที่ผู้เชื่อชาวยิว จะมีความมั่นใจ และ ไม่หันหลังกลับไปสู่ระบบเดิม ความเชื่อเดิม
คำถามที่สำคัญกว่า โดยเฉพาะสำหรับพวกเราคือ คำถามที่สามครับ แล้ว เราในฐานะผู้เชื่อในปี 2020 ที่ไม่ใช่ผู้เชื่อที่เป็นคนอิสราเอล ความเข้าใจนี้ มีความหมายหรือ ส่งผลอย่างไรในชีวิตของเรา (ข้อที่ 20-28)
คำถามสองคำถามแรกสำหรับเราที่ไม่ใช่คนอิสราเอล จึงดูเหมือนว่าไม่ใช่คำถามที่สำคัญสำหรับเรา เพราะเราไม่ได้มีมรดกความเชื่อเดิมอยู่ในพระคัมภีร์เดิมแบบผู้เชื่อที่เป็นคนอิสราเอล ที่เคยยึดถือไว้
สำหรับเรา สิ่งที่น่าคิดว่า มีสิ่งใดมั้ยในอดีตของเรา สิ่งที่เรายึดถือ ความเชื่อเดิมของเรา หรือแม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ที่เป็นผู้เชื่อแล้ว ฉุดรั้งเราไว้ ไม่ให้มาหาพระคริสต์ หรือ ไม่ยอมรับการไถ่ของพระคริสต์ในชีวิตของเรา เหมือนอย่างคนยิวในเวลานั้น ผมขอเรียกสิ่งนี้ว่า worldview นะครับ หรือ โลกทัศน์ของเรา เราแต่ละคนล้วนมี วิธีการมองโลก หรือ worldview ซึ่งได้รับการหล่อหลอม มาตลอดชีวิตของเรา ไม่ว่าจะมาจาก การเลี้ยงดูในครอบครัว ศาสนา ปรัชญา ระบบการศึกษาของเรา หรือแม้กระทั่ง สื่อต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา ปัจจุบันมี คนที่ตั้งตัวเป็น โค้ช ต่างๆมากมายในสื่อสังคมออนไลน์ ที่คอยป้อน มุมมอง โลกทัศน์ต่างๆให้กับเรา คริสเตียนที่มีความเข้าใจในพระคัมภีร์ อย่างถูกต้อง จึงจะสามารถใช้หลักการในพระคัมภีร์เพื่อเป็นตัววัด และมีวิจารณญาณอย่างเพียงพอต่อ สิ่งที่สื่อต่างๆ พยายามป้อน ชี้นำให้เราไปในทิศทางที่ ออกห่างจากพระเยซู คริสต์ จากความเชื่อที่ถูกต้องตามหลักการในพระคัมภีร์ ครับ
การเฝ้าเดี่ยวในทุกวัน อ่านพระคัมภีร์ ศึกษาพระคำของพระเจ้า จะช่วยให้เรามี โลกทัศน์ ตามแบบอย่างพระคัมภีร์ และช่วยให้เรามีวิจารณญาณฝ่ายจิตวิญญาณในการแยกแยะครับ
ปัญหาอีกประการคือ worldview นี้ เปลี่ยนยาก มาก เพราะอยู่กับเรามาตลอดชีวิต เหมือนผู้เชื่อชาวอิสราเอล ที่พระคัมภีร์ตอนนี้อธิบายให้เห็นความจริงในพระเยซู คริสต์
บางคนไม่มาหาพระเยซู เพราะว่ายึดติดกับความเชื่อบางอย่าง การกลับมาหาพระเยซู คริสต์ เราจำเป็นต้องละทิ้งบางอย่างในชีวิตของเรา โดยเฉพาะ worldview หรือ โลกทัศน์ บางอย่างออกไป เหมือนอย่างผู้เชื่อที่เป็นคนอิสราเอล ต้องเข้าใจละทิ้งความเชื่อว่า มีเพียงปุโรหิตเลวี และ พระวิหาร ที่สามารถชำระความบาปของเขาได้ แต่พระคัมภีร์ ในข้อ
ข้อที่ 22 “โดยคำปฏิญาณนี้ พระเยซูจึงทรงเป็นผู้ค้ำประกันพันธสัญญาที่ดีกว่าเก่า”
การเปลี่ยนแปลง worldview เราต้องการพระวิญญาณบริสุทธิ์ ช่วยเรา ให้พระองค์ส่องความสว่างในจิตใจ ในความคิดของเรา เพื่อให้เราเห็นความจริง ว่า เรามี ความคิด โลกทัศน์ ความเชื่อบางอย่าง หรือ ทัศนคติ ที่เราจำเป็นต้องละทิ้ง เพื่อที่จะติดตามพระคริสต์ และเติบโตในการเดินกับพระองค์ อย่าละเลยทัศนคติเล็กๆ บางอย่างในชีวิตของเรา เพราะสิ่งนี้อาจจะส่งผลใ นการเดินติดตามและเติบโตกับพระเยซู ในระยะยาวได้
ผมอยากให้เราเข้ามาสำรวจตัวเราเอง โดยเฉพาะความคิด และความเชื่อส่วนตัวของเรา ทำไมเราเป็นผู้เชื่อมานานแล้ว แต่ยังไม่เติบโตกับพระเจ้า ยังไม่กล้าที่จะวางใจในพระเจ้ามากกว่าที่เป็นอยู่ มีเพียงเราเท่านั้นที่รู้ตัวเราเองดีที่สุด เรื่องราวระหว่างเรากับพระเจ้า ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเราครับ ให้เราเห็นความจริง เพื่อเราจะเข้าใจ และละทิ้ง ความคิด ความเชื่อ ปรัชญา บางอย่างที่เราอาจเคยยึดถือไว้ เพื่อที่เราจะเติบโตขึ้นในการเดินกับพระเจ้า
การมาหาพระคริสต์ พระเจ้าทรงสัญญา ปฏิญาณว่า พระเยซู เป็นผู้ยอมจ่ายราคา เพื่อเป็นการรับรองว่า พันธสัญญาของพระองค์ ดีกว่า แบบเก่า ที่เราเคยยึดถือไว้แน่นอน ครับ
มนุษย์อาจจะล้มเหลว แต่พระเจ้าไม่เคยล้มเหลว
ระบบปุโรหิตเดิมที่พระเจ้าประทานให้ ผ่านธรรมบัญญัติ เป็นสิ่งที่ดี ธรรมบัญญัติ ก็เป็นสิ่งที่ดี พระคัมภีร์เดิมบอกกับเราว่า กฏเกณฑ์ของพระยาห์เวห์ เป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่คนของพระเจ้าควรจะชื่นชมและยินดี ในการกระทำตาม แต่เนื่องจากความบาปทำให้สิ่งดีต่างๆจากธรรมบัญญัติ ถูกบิดเบือน และเสื่อมโทรมลง แม้มนุษย์จะล้มเหลว แต่ข่าวดีคือ พระเจ้าของเราไม่เคยล้มเหลว และ ล้มเลิก พระองค์ส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ลงมาบังเกิด เพื่อช่วยกู้เราให้รอดจากความบาปของเรา พระเจ้าไม่เคยล้มเหลว พระเยซู จึงทรงเป็นปุโรหิตนิรันดร์ของเรา นำพาเราให้กลับไปหาพระเจ้าเที่ยงแท้ และชำระความผิดบาปในชีวิตของเราอย่างแท้จริง
ให้เรากลับมาหาพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นความช่วยเหลือที่แท้จริง ช่วยเราให้ได้รับความรอด
ในข้อ 25 ซึ่งเป็นหัวใจของพระคัมภีร์ในตอนนี้ ครับ สำหรับการตอบสนองของเรา คือให้เรากลับมาหาพระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ อย่าลืมนะครับว่าเรากำลังอยู่ในเทศกาลอีสเตอร์ เฉลิมฉลองการทรงพระชนม์ของพระคริสต์
“เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงทรงสามารถช่วยคนทั้งหลายที่เข้ามาใกล้พระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นอย่างเต็มที่ (ตลอดกาล) เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลา เพื่อทูลขอเผื่อคนเหล่านั้น”
ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน ครับ
ฮาเลลูยา พระคริสต์ผู้ยังทรงพระชนม์อยู่ในเวลานี้ ลูกอธิษฐาน ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผย ขอให้ลูกสลัดเอาความสงสัยทิ้งไป ความสงสัยที่เป็นเหมือนกับดักในโลกแห่งความกลัว ขอพระองค์ทรงเปลี่ยนความสงสัยในพระองค์ ให้เป็นความเชื่อ ลูกขอเข้ามาเฉลิมฉลองมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ คือองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นขึ้นมาแล้วจากความตาย และจะไม่ตายอีกต่อไป มหาปุโรหิตนิรันดร์ผู้มีชัยชนะเหนือความตาย ผู้ประทานความหวังและความรอดนิรันดร์จากความพินาศ ลูกอธิษฐานในพระนามพระเจ้าสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว คือ พระบิดา พระบุตร และ พระวิญญาณบริสุทธิ์ อาเมน
