รู้จักพระเจ้า ผ่านคำอุปมาคนเช่าสวนองุ่น
Notes
Transcript
Handout
Handout
บทนำ
[SLIDE 1-2]
สวัสดีครับ เรายังอยู่ในช่วงมหาพรต สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ สี่ ของเทศกาลมหาพรตแล้วนะครับ เวลาผ่านไปเร็วมาก อีก เพียงหนึ่งสัปดาห์ เราก็จะเข้าสู่สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์หรือ ปัสกาของพี่น้องคริสตชนแล้วครับ พุธที่แล้ว เราเรียน “รู้จัก” พระเจ้าผ่าน เหตุการณ์การสำแดงพระคริสต์สำแดงพระสิริ บนภูเขาใน แขวงซีซารียาฟิลิปปี ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอิสราเอล เรารู้ว่า การที่เราจะรู้จักพระเจ้า เราต้องมีสองยอม คือ ยอม เปลี่ยนแปลงความคิด และ ยอม เชื่อฟังพระคริสต์
[SLIDE 3-4]
เหตุการณ์ในวันนี้ เรายังคงร่วมเดินทางไปกับพระเยซูคริสต์และบรรดาศิษย์สาวกของพระองค์ เข้าสู่สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ กับพระเยซูคริสต์ หรือปัสกา ในเยรูซาเล็ม เพื่อที่เราจะ “รู้จัก” พระเจ้ามากยิ่งขึ้นผ่านคำอุปมาและ เหตุการณ์ในพระคัมภีร์ ลูกา 9:9-19
9พระองค์ตรัสอุปมาให้ประชาชนฟังต่อไปว่า “มีชายคนหนึ่งทำสวนองุ่น และให้ชาวสวนบางคนเช่า แล้วก็ไปอยู่ต่างประเทศเป็นเวลานาน 10เมื่อถึงเวลาแล้วจึงใช้ทาสคนหนึ่งไปหาคนเช่าสวนเหล่านั้น เพื่อพวกเขาจะได้แบ่งองุ่นที่เป็นผลผลิตนั้นแก่เจ้าของ แต่ชาวสวนเหล่านั้นกลับเฆี่ยนตีเขาและไล่เขากลับไปมือเปล่า 11เจ้าของสวนจึงใช้ทาสอีกคนหนึ่งไป แต่พวกนั้นเฆี่ยนตีและทำการอัปยศต่างๆ ต่อทาสคนนั้นด้วย และไล่ให้กลับไปมือเปล่า 12เจ้าของสวนจึงใช้คนที่สามไป แต่คนเช่าสวนเหล่านั้นก็ทำให้เขาบาดเจ็บ แล้วขับไล่เขาออกไป 13เจ้าของสวนองุ่นจึงกล่าวว่า ‘ข้าจะทำอย่างไรดี? ข้าจะส่งลูกรักของข้าไป เขาคงจะเคารพลูกคนนี้’ 14แต่เมื่อพวกชาวสวนเห็นบุตรนั้นก็ปรึกษากันว่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาท ให้เราฆ่ามัน มรดกจะได้ตกเป็นของเรา’ 15ดังนั้นพวกเขาจึงขับไล่บุตรนั้นออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย เมื่อเป็นแบบนี้เจ้าของสวนจะทำอย่างไรกับพวกเขา? 16ท่านก็จะมาทำลายชาวสวนเหล่านี้แล้วเอาสวนองุ่นนั้นให้คนอื่น” คนทั้งหลายเมื่อได้ยินจึงพูดว่า “อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย” 17พระองค์ทรงจ้องดูพวกเขาแล้วตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นพระวจนะที่เขียนไว้หมายความว่าอย่างไรกัน?
‘ศิลาที่พวกช่างก่อทิ้งแล้ว
กลับกลายเป็นศิลามุมเอก’
18ทุกคนที่ล้มทับศิลานั้น จะต้องแตกหักไป และถ้ามันตกทับใคร คนนั้นจะแหลกละเอียดไป” 19เมื่อพวกธรรมาจารย์และพวกหัวหน้าปุโรหิตรู้ว่าพระองค์ตรัสอุปมานั้นกระทบพวกเขาเอง ก็อยากจะจับพระองค์ทันที แต่พวกเขากลัวประชาชน
[SLIDE 5]
พี่น้องครับ เหตุการณ์ในพระคัมภีร์ตอนนี้ เรากำลังอยู่ในสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ปัสกา เป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของพระเยซูคริสต์ก่อนจะสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนในวันศุกร์ประเสริฐ และ วันอาทิตย์อีสเตอร์ วันอาทิตย์พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย พระเยซูกำลังสั่งสอน เทศนากับฝูงชนที่ติดตามพระองค์ในพระวิหาร พระคัมภีร์บันทึกว่ามีคนจำนวนมากกำลังฟังคำสอนของพระองค์ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ชาวยิวต่างเดินทางเข้ามาในเยรูซาเล็มในเพื่อเฉลิมฉลองปัสกาที่พระวิหาร
เทศกาลปัสกา หรือ ภาษาอังกฤษ คือ Passover เป็นหนึ่งในเทศกาลที่สำคัญของคนยิว ในเวลานั้นครับ ปัสกาเป็นเทศกาล อิสราเอลที่ระลึกถึงการช่วยกู้จากการเป็นทาสในอียิปต์ ตามธรรมเนียมแล้ว คนยิวที่เคร่งครัดในธรรมบัญญัติจะเดินทางจากทั่วประเทศ ระยะทางกว่าหลายร้อยกิโลเมตร เข้ามานมัสการพระเจ้าในพระวิหารที่เยรูซาเล็ม
[SLIDE6]
พระวิหารเป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของชนชาติยิว ถึงแม้ว่าจะตกเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรโรม ชาวยิวได้รับสิทธิพิเศษจากโรมให้มีสภาของตนเอง ในการตัดสินคดีความเกี่ยวกับศาสนา เพราะสำหรับโรมแล้ว เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และไม่มีความเข้าใจในธรรมบัญญัติของยิวอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นนอกจากพระวิหารจะเป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณแล้ว พระวิหารยังกลายเป็นเหมือนศูนย์กลางอำนาจ และแน่นอนหนีไม่พ้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของบรรดาผู้ปกครองในสภาปกครองนี้ด้วยเช่นกัน บรรดาผู้ปกครองในสภาแซนหิดริน Sanhedrin จึงประกอบไปด้วย ปุโรหิต มหาปุโรหิต ซึ่งมีความรับผิดชอบดูแลระบบของพระวิหาร การถวายเครื่องบูชาต่างๆ การประกอบพิธีให้ถูกต้องตามหลักธรรมบัญญัติ อาลักษณ์หรือผู้เชี่ยวชาญกฎหมายในธรรมบัญญัติ และ ผู้ปกครองอาวุโส
[SLIDE7-8]
เรากำลังอยู่ในลูกาบทที่ 20 และในบทที่ 19 ก่อนหน้านี้ พระเยซู เสด็จเข้าเยรูซาเล็ม ฝูงชนจำนวนมากต่างให้การต้อนรับพระองค์ในฐานะของพระเมสสิยาห์ ในข้อ 38
ต่างโห่ “ร้องสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงดังว่า “ขอให้พระมหากษัตริย์ ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงพระเจริญ ขอให้มีสันติในสวรรค์และพระเกียรติในที่สูงสุด”
ถ้าเป็นในบริบทคนไทยเรา ฝูงชนก็ เหมือนกับโห่ร้องต้อนรับพระมหากษัตริย์ ว่า ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ
ตั้งแต่ที่พระเยซูเสด็จเข้ามาที่พระวิหารในเยรูซาเล็ม พระองค์ก็ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดด้วย บรรดานักการศาสนา รวมถึง จากสภาปกครองแซนหิดรินด้วย เพราะว่า ทันทีที่พระเยซูเสด็จเข้าในพระวิหาร พระคัมภีร์บันทึกว่า ทรงชำระพระวิหาร ในข้อ 45
[SLIDE 9-10]
“พระองค์เสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหาร แล้วทรงเริ่มขับไล่คนทั้งหลายที่ค้าขายอยู่นั้น และตรัสกับพวกเขาว่า มีพระวจนะเขียนไว้ว่า นิเวศของเราควรจะเป็นนิเวศอธิษฐาน แต่พวกท่านทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร”
พระคัมภีร์บันทึกต่อว่า
“แต่พวกหัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์ และผู้นำคนอื่นๆ ของประชาชนหาช่องทางที่จะฆ่าพระองค์”
ถ้าเราอ่านแต่พระคัมภีร์ เราคงจะสงสัยว่า ทำไม่ พระเยซูต้องขับไล่พ่อค้าออกไป แล้วทำไม พวกบรรดาปุโรหิต ธรรมาจารย์และ ผู้นำคนอื่นๆหาทางกำจัดพระเยซู
เพราะว่า พระวิหาร ซึ่งเป็นที่พระเจ้าสถิตอยู่ เป็นสถานที่อิสราเอลมานมัสการพระเจ้า บัดนี้กลับกลายเป็น ศูนย์กลางของอำนาจของคนบางกลุ่ม โดยเฉพาะนักการศาสนา และ เป็นช่องทางเอารัดเอาเปรียบเพื่อนร่วมชาติ ศาสนพิธี ในพระวิหาร จำเป็นต้องใช้สัตว์ต่างๆ แพะ แกะ วัว นกพิราบ ซึ่งปราศจากตำหนิ สัตว์ต่างๆเหล่านี้ที่ใช้ในศาสนพิธีต้องได้รับการตรวจสอบและเห็นชอบจากปุโรหิตว่าสามารถประกอบพิธีได้ อีกทั้งด้วยการเดินทางจากระยะทางไกลๆ จึงยากที่จะพาสัตว์ต่างๆมาด้วย ระหว่างเดินทาง จึงเกิดมีการซื้อขายสัตว์ต่างๆเหล่านี้ในบริเวณพระวิหาร เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก
นอกจากนี้ พระวิหารก็มีระบบเงินเหรียญของตนเอง ไม่รับเงินของโรม เพราะถือว่าขัดกับธรรมบัญญัติ มีการตั้งโต๊ะรับแลกเปลี่ยนเงินสกุลต่างๆ มาเป็นเหรียญเงินที่ใช้ได้เฉพาะในพระวิหาร กำไรสองต่อ จากอัตราแลกเปลี่ยนที่คิดในอัตราแบบผูกขาด และ จากการผูกขาดการขายสัตว์ต่างๆที่ต้องใช้ในศาสนพิธี
ช่วงเทศกาลซึ่งมีนักแสวงบุญจำนวนมากเดินทางมาที่พระวิหารจึงเป็นโอกาสในการทำกำไรมหาศาล บันทึกของนักประวัติศาสตร์ชาวยิวระบุว่า ในช่วงเทศกาล มีสัตว์มากกว่า หนึ่งล้านสามแสนตัว ถวายเป็นเครื่องสัตวบูชา ในหนึ่งวัน มีการโก่งราคาสัตว์ต่างๆเหล่านี้ ในบันทึกระบุว่า ราคาแพงกว่าในท้องตลาดมากกว่า 10 เท่า ซึ่งแน่นอน ผลประโยชน์เกือบทั้งหมด ตกอยู่กับนักการศาสนาที่มีอำนาจผูกขาดในการดูแลพระวิหาร
นี้คือเหตุผลที่ทำไม พระเยซูคริสต์เมื่อเสด็จมาในพระวิหาร จึงชำระพระวิหาร และทำให้นักการศาสนาที่ควบคุมพระวิหารจ้องหาทางกำจัดพระองค์ ในสายตาของพวกเขา พระเยซูคือ รับไบ หรืออาจารย์ที่มาจากบ้านนอก ภาคเหนือของอิสราเอล และกำลังได้รับความนิยมจากประชาชน กล้าหาญมาแหย่รังแตน มาทุบหม้อข้าวของพวกเขา ทั้งอำนาจและเงินตรา
พระวิหาร ที่ประทับของพระเจ้า ให้ประชากรของพระองค์เข้ามานมัสการพระเจ้า บัดนี้กลับกลายเป็นแหล่งทำมาหากิน และ อำนาจ ของผู้นำทางศาสนาบางกลุ่ม เอารัดเอาเปรียบ ขูดรีดกำไรมหาศาลจากประชากรของพระองค์
บรรดาผู้นำศาสนา เข้ามาหาพระเยซูแล้วถามว่า ที่พระองค์ทำสิ่งต่างๆในพระวิหาร ไม่ว่าเทศนาสั่งสอน ประชาชน ชำระพระวิหาร ไล่พ่อค้า ล้มโต๊ะแลกเงิน พระองค์ทำด้วยสิทธิอำนาจอะไร? พระองค์จึงเล่าเรื่องอุปมานี้ขึ้นมา
จากคำอุปมานี้เราสามารถ รู้จัก พระเจ้าได้ จากคำอุปมาเรื่องสวนองุ่นและคนเช่า และการตอบสนองได้ สองประการคือ
(1) พระเจ้าทรง พระคุณ เมตตา และ อดทนนาน
จากพระคัมภีร์ตอนนี้ เรารู้จักพระเจ้า ว่าทรง พระคุณ เมตตา และ อดทนนาน ได้จากสองการกระทำครับ
การกระทำที่หนึ่งพบในข้อที่ 9
[SLIDE12]
ในข้อที่ 9
“มีชายคนหนึ่งทำสวนองุ่น และให้ชาวสวนบางคนเช่า...”
ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์จากเลนส์ในศตวรรษนี้ เราอาจจะนึกถึงผ่าน คนเช่าที่ ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของที่ดิน แต่ความจริงแล้ว ในพระคัมภีร์ เป็นภาพของ พระคุณและความเมตตาของเจ้าของสวนองุ่นที่มีต่อผู้เช่า เพราะว่า เจ้าของสวนองุ่นเป็นผู้ที่ลงทุนทั้งหมด รวมถึงเมล็ดพันธุ์ และเมื่อมีสวนองุ่นแล้ว ผู้เช่าเป็นผู้ที่ถูกเลือกให้เข้ามาดูแลสวนองุ่นแทนเจ้าของ เมื่อได้ผลผลิตแล้ว ก็จะแบ่งให้ผลผลิตกัน 60:40 หรือ 70:30 ตามแต่ตกลงกัน โดยผู้เช่าจะเป็นฝ่ายส่วนของตนว้า 60 หรือ 70 ที่เหลือเป็นของเจ้าของสวนองุ่น
ดังนั้น การถูกเลือก ให้เป็นคนเช่า จึง ถึงว่าเป็นสิทธิพิเศษของ คนเช่า ที่ เจ้าของสวนองุ่น เลือกผู้เช่าที่จะสำแดงพระคุณและ ความเมตตาต่อ ผู้เช่า ไม่ใช่ภาพของการเอารัดเอาเปรียบ แน่นอน ผู้เช่า ต้องใช้แรงงานในการดูแลสวนองุ่น ให้เกิดผล เพื่อที่ตนเองจะได้รับส่วนแบ่งอย่างงามตามแรงงานของตนเอง
พระเยซูคริสต์ ทรงเลือกคำอุปมา โดยใช้ภาพของ สวนองุ่น เพราะสำหรับคนยิว ซึ่งคุ้นเคยกับพระคัมภีร์เดิมแล้ว จะเข้าใจความหมายที่พระเยซูพูดถึงเป็นอย่างดี
[SLIDE13]
อิสยาห์ 5 เป็นบทเพลงที่อิสราเอล จดจำได้และ ร้องตั้งแต่เด็กๆ
ข้อที่ 2, 7
“...มีสวนองุ่นแปลงหนึ่ง อยู่บนเนินเขาอันอุดมยิ่ง ท่านขุดแล้วเก็บก้อนหินออกหมด และปลูกเถาองุ่นอย่างดีไว้ ท่านสร้างหอเฝ้าอยู่ท่ามกลางและสกัดบ่อย่ำองุ่นไว้ในสวนนั้นด้วย ท่านคาดหวังว่ามันจะเกิดผลองุ่นหวานแต่มันกลับเกิดผลเปรี้ยว ... เพราะว่าสวนองุ่นของพระยาห์เวห์จอมทัพคือวงศ์วานอิสราเอล...”
ดังนั้นสำหรับคนยิวแล้ว เมื่อฟังคำอุปมานี้ ก็จะเข้าใจความหมายในตอนแรกได้เป็นอย่างดี คือ
สวนองุ่น หมายถึง ชนชาติอิสราเอล
เจ้าของสวนองุ่น หมายถึง พระเจ้า
สำหรับในส่วนที่พระเยซูดัดแปลงเพิ่มเติมเข้าไปคือ
คนเช่า หมายถึงบรรดานักการศาสนา - ปุโรหิต มหาปุโรหิต ธรรมาจารย์ และผู้อาวุโสที่ปกครองอิสราเอล ผู้ที่มีส่วนในการดูแลชนชาติอิสราเอลให้นมัสการพระเจ้า
คนรับใช้ของเจ้าของสวนองุ่นที่ถูกทำร้าย เฆี่ยนตี คือ บรรดา ผู้เผยพระวจนะ ประกาศก ที่พระเจ้าส่งให้มา ให้อิสราเอลกลับใจใหม่ ให้กลับใจจากความชั่วร้าย กลับมานมัสการพระยาห์เวห์ พระเจ้าเที่ยงแท้
[SLIDE14]
การกระทำที่สอง ที่เปิดเผยว่า พระเจ้าทรงพระคุณ อดทนนาน พบในข้อที่ 13 พระเจ้า อดทนนาน เมตตา ด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้นคือ ปรารถนาให้เรากลับใจใหม่
“เจ้าของสวนองุ่นจึงกล่าวว่า ข้าจะทำอย่างไรดี? ข้าจะส่งลูกรักของข้าไป เขาคงจะเคารพลูกคนนี้”
หลังจากที่เจ้าของสวนองุ่นส่งคนรับใช้ของเขาไป เพื่อจะได้แบ่งองุ่นที่เป็นผลผลิตแก่เจ้าของส่วน ทั้งสามคนล้วนถูกเฆี่ยนตี ทำร้าย ถูกทำให้บาดเจ็บ พระคัมภีร์ว่า ทำอัปยศต่างๆ กับคนรับใช้ที่เจ้าของสวนองุ่นใช้มา
ถ้าเราเป็นเจ้าของสวนองุ่น เราคงไม่ต้องพูดว่า เราจะทำอย่างไรดี? ความจริงคำๆ นี้แฝงไปด้วยความหมายที่แท้จริงว่า เราจะทำอย่างไรดีเพื่อให้เขากลับใจ ?
สำหรับมนุษย์อย่างเรา เราคงไม่ต้องรอแล้วล่ะ คงส่ง กองกำลัง คนรับใช้ไปไล่ คนเช่าออกจาก สวนองุ่นของเขา ความจริงไม่ต้องรอ ส่งคนรับใช้คนที่สามด้วยซ้ำ ถ้าเป็นเรา แค่คนรับใช้คนแรก ที่คนเช่าปฎิเสธ เราคงไม่ยอมแล้ว
พระเจ้า ทรงมีพระคุณ เมตตาและ อดทนนาน พระองค์อดทนนาน ส่งคนรับใช้ไปคนแล้วคนเหล่า พระองค์ทรงอดทนนาน ปรารถนาให้ คนเช่า ได้รับโอกาส ในการ กลับใจใหม่ ผมเชื่อว่า ถ้าคนเช่า กลับใจใหม่ เขาจะไม่ถูกทำลาย
[SLIDE15]
สดุดี 103: 8
“พระยาห์เวห์ทรงพระกรุณาและมีพระคุณ กริ้วช้าและอุดมด้วยความรักมั่นคง”
พระคุณ ความอดทนอดกลั้นของพระเจ้า เป็นสิ่งที่เรา มนุษย์ไม่มีวันเข้าใจ สำหรับเรา เราจะคิดว่า มันไม่สมเหตุสมผลเลย เกินกว่าความเข้าใจของมนุษย์ได้ พระเจ้าส่งผู้เผยพระวจนะ ประกาศก ให้กับอิสราเอลคนแล้วคนเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อมองหาการเกิดผลในชนชาตินี้ แต่อิสราเอลกลับ ละเลย เพิกเฉย ไม่เชื่อฟัง และยิ่งไปกว่านั้น ยังกลับไปทำร้ายและ ฆ่า ผู้รับใช้ที่พระเจ้าใช้มาด้วย แต่ถึงกระนั้น พระองค์ยังคงส่งผู้รับใช้คนแล้วคนเล่ามาเพื่อให้โอกาสอิสราเอลครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้กลับใจใหม่ นี้จะเป็นการแสดงพระลักษณะของพระเจ้า ที่เรารู้จักพระเจ้าผ่านการเปิดเผยในพระคัมภีร์คือ เปี่ยมไปด้วยพระคุณและ อดทนนาน
ประวัติศาสตร์ของอิสราเอล เปิดเผยถึง ด้านมืดของจิตใจมนุษย์ อิสราเอล เป็นชนชาติเดียว ที่ได้รับสิทธิพิเศษในการทำพันธสัญญากับพระเจ้า เป็นประชากรของพระองค์ แต่ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขาหันหลังให้พระเจ้า
ทันทีหลังจากพระเจ้าช่วยอิสราเอลจากการเป็นทาสในอียิปต์ ในขณะที่โมเสสขึ้นไปบนภูเขาเพื่อรับบัญญัติสิบประการ เบื้องล่างระหว่างรอโมเสส อิสราเอลก็หล่อโคทองคำ ขึ้นมากราบไหว้นมัสการแทนพระเจ้า
ในระหว่างเดินทางในถิ่นทุรกันดาร อิสราเอลก็บ่นต่อว่าพระเจ้าว่า พามาลำบากลำบน รู้งี้กลับไปเป็นทาสเหมือนเดิมในอียิปต์ดีกว่า ยังมีอาหารการกินที่ดีกว่านี้ แม้จะต้องถูกกดขี่ข่มเหงเป็นทาสเขาก็ตาม
และเมื่ออิสราเอลสามารถเข้าในแผ่นดินพันธสัญญาแล้ว ก็กลับไปนมัสการพระอื่นๆของชนชาตินั้นๆ กระทำความบาปที่ชนชาติอื่นๆทำ เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย การนมัสการพระอื่นๆในแถบนั้นคือ การบูชายัญเด็ก การร่วมประเวณีในพิธีกรรม เป็นความบาปที่พระเจ้าทรงสะอิดสะเอียน อิสราเอลแทนที่จะเป็นแสงสว่าง พาชนชาติเหล่านั้นให้กลับใจจากความบาป หันมานมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ ตัวเองกลับไปเป็นเหมือนเขาซะเอง
โอกาสสุดท้ายของ คนเช่า มาถึง เมื่อ พระเจ้าส่งพระบุตรของพระองค์มาเอง คือ พระเยซูคริสต์ เพื่อให้เขาเหล่านั้นกลับใจ แต่บรรดานักการศาสนาเหล่านั้น กลับคิดอุบาย แผนที่จะหาทางกำจัดพระเยซูคริสต์ ลูกชายคนเดียวของเจ้าของสวนองุ่น ลูกที่รักของพระเจ้า
ตอนที่ลูกชายของเจ้าของสวนองุ่นมาถึง คนเช่าต้องคิดอยู่ในใจว่า สงสัยว่าพ่อน่าจะเสียชีวิตแล้ว เพราะตามกฎหมายของคนยิวแล้ว ลูกชายจะต้องมาแสดงตัวเพื่อยืนยันในทรัพย์สิน ที่ดินของผู้เป็นบิดาที่เสียชีวิตในช่วงระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และ ด้วยความโลภอยากเป็นเจ้าของสวนองุ่นเสียเอง จึงวางแผนฆ่าลูกชายเจ้าของสวนองุ่น เขาต้องการเป็นเจ้าของสวนองุ่น เขาไม่ยอมรับความเป็นเจ้าของสวนองุ่นกับเจ้าของที่แท้จริง
นักการศาสนา มหาปุโรหิต คิดว่าเขาเป็นเจ้าของพระวิหาร แทนที่จะตระหนักว่า พระวิหารเป็นของพระเจ้า และต้องการแสวงหาอำนาจ ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากศาสนพิธีในพระวิหาร เมื่อพระบุตรพระเจ้าเสด็จมาเตือน พวกเขา พวกเขากลับคิดจะหาทางกำจัดพระองค์ เพราะความโลภและยึดติดในอำนาจและทรัพย์สินเงินทอง
มองพระคัมภีร์ในวันนี้ ก็ให้เรามองย้อนกลับมาที่ตัวเราเองครับ
สำหรับเราในฐานะผู้เชื่อ ถ้าเราได้มีโอกาสมองย้อนกลับไปในชีวิตของเรา เราจะเห็นว่าพระเจ้าอดทนนานและพระคุณอย่างมากในชีวิตของเรา แต่แทนที่เราจะสำนึกพระคุณ พระเจ้า บ่อยครั้งที่เรายังคงดำเนินชีวิต
โดยให้ตัวเราเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง อยู่เพื่อตัวเอง ไม่คิดถึงส่วนแบ่ง หรือ การมีส่วนร่วมของพระเจ้าในชีวิตของเรา ในครอบครัวของเรา หน้าที่การงาน การเรียน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร พระเจ้าก็ยังคงส่งผู้รับใช้ของพระองค์มาเพื่อเตือนสติเราอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้เรากลับมาในทางของพระเจ้า
พระเจ้าส่งอาจารย์ คุณพ่อมาเตือนเรา ผ่านคำเทศนาตามความจริงในพระคัมภีร์ พระเจ้าให้เราได้อ่านความจริงของพระองค์ผ่านพระคัมภีร์ เพื่อนๆพี่น้อง ที่คริสตจักรในชุมชนแห่งความเชื่อที่คอยเตือนสติเรา หนุนใจเราให้เดินไปกับพระเจ้า ให้ดำเนินชีวิตในทางแห่งความชอบธรรม หลายครั้งพระเจ้าก็ใช้เหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพ ปัญหาครอบครัว การหย่าร้าง ลูกที่มีปัญหา ปัญหาในหน้าที่การงาน หรือแม้แต่ความตายของคนที่เรารัก หรือเพื่อนๆของเรา เพื่อเตือนสติเราว่า เราไม่ใช่เจ้าของสิ่งต่างๆเหล่านี้ และเตือนสติเราว่า สิ่งที่นิรันดร์ถาวรนั้น สำคัญกว่าสิ่งชั่วคราวในโลกนี้ ที่เราก็ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง
ทั้งหมดนี้คือ พระคุณและความอดทนนาน ของพระเจ้าต่อชีวิตของเราครับ พี่น้อง ความอดทนนาน พระคุณพระเจ้าที่เตือนเราว่า เราต้องดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาท เพราะ วันหนึ่งต้องกล่าวรายงานต่อหน้าพระเจ้า ดำเนินชีวิตอย่างรับผิดชอบ มีชีวิตที่เกิดผล เป็นแสงสว่างให้กับผู้คนอีกมากมายที่ไม่รู้จักพระเจ้า และยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในความมืด ภายใต้พันธนาการของบาป พาเขาให้กลับมาหาพระเจ้าเที่ยงแท้ พาเค้ามาหาพระเยซูคริสต์
นอกจากเราที่เป็นผู้เชื่อแล้ว ความจริงที่เปิดเผยในพระคัมภีร์วันนี้ ก็เปิดเผย ชีวิตของมนุษย์เช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่รู้จักพระเจ้า ยังไม่มีศรัทธา ความเชื่อในพระเจ้า ชีวิตของเขาเหล่านั้น ความจริง ก็เหมือนกับ คนเช่า ที่หลงผิด คิดว่า สวนองุ่นเป็นของตัวเอง เราดำเนินชีวิต ราวกับว่า เราเป็นเจ้าของทุกสิ่งในชีวิตของเรา เราไม่เคยคิดว่า ความจริงแล้ว เรากำลังเช่าพระเจ้าอยู่ พระเจ้าเป็นเจ้าของที่แท้จริง
มนุษย์ก็เป็นเหมือนกับ คนเช่าสวนองุ่น ในคำอุปมานี้ ปฎิเสธพระเจ้าในชีวิต หลายคนก่อนจะมารู้จักพระเจ้า เชื่อมีศรัทธาในพระเจ้า ก็อาจจะเป็นเหมือนคนเช่า คือ ดูถูก ทำร้าย ต่อว่า ผู้รับใช้พระเจ้าที่ถูกใช้มาหาเรา เพื่อให้เรารู้ความจริง และ กลับใจใหม่
เราเป็นเหมือนกับคนเช่าสวนองุ่นคนนั้น ไม่ต้องการให้พระเจ้าเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตของเรา เพราะเราคิดว่า ชีวิตเป็นของเรา ทุกสิ่งที่เรามีเป็นของเรา แต่ความจริงที่เปิดเผยในพระคัมภีร์คือ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา ความจริงรวมถึงชีวิตของเราด้วย ล้วนมาจากพระเจ้า บ่ายวันนี้ ถ้าพระเจ้าจะเอาลมหายใจเราไป เราก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แล้วจะบอกได้อย่างไรว่าชีวิตเป็นของเรา
ท้ายที่สุดแล้ว เราแต่ละคน ก็เป็นเหมือนกับ คนเช่าสวนองุ่น ที่มีส่วนในความตายของลูกที่รักของเจ้าของสวนองุ่น เพราะ ความบาปในชีวิตของเรา พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน เพราะความบาปในชีวิตของเรา เพื่อชดใช้ความบาปของเรา เพื่อที่เราจะกลับคืนดีกับพระเจ้า
พระเจ้าพร้อมที่จะเปลี่ยนใจ ให้อภัยและ ไม่ลงโทษ ถ้าผู้เช่า “กลับใจใหม่” เพราะว่า ข้อที่ 1 คือ พระเจ้า ทรงมีพระคุณ เมตตาและ อดทนนาน
ถ้าเราปฎิเสธพระเยซูคริสต์ ก็เท่ากับเราเหมือนกับคนเช่าสวนองุ่นที่รอวันแห่งการพิพากษา กำลังเดินไปสู่ความพินาศ นี่นำไปสู่ การรู้จัก พระเจ้า ในข้อที่สอง คือ
[SLIDE16]
(2) พระเจ้าทรง ยุติธรรม น่ากลัวเกรง นำมาซึ่ง การพิพากษา
การรู้จักพระเจ้า สำคัญมาก เพราะจะส่งผลในการดำเนินของเรา ถ้าเรารู้จัก พระเจ้า เพียงด้านเดียว จะทำให้เรามองพระเจ้าบิดเบี้ยวไป ซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเรา ที่จะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ไม่สมดุล
ส่วนใหญ่ คริสตชน มักจะคิดแต่ว่า พระเจ้า เป็นความรัก กอรปไปด้วยพระคุณ เมตตา อดทนนาน
นี้เป็นเพียงเหรียญด้านเดียวเท่านั้น พระเจ้ายังมีเหรียญอีกด้านหนึ่งคือ พระเจ้าทรงยุติธรรม น่ายำเกรง หรือน่ากลัวเกรง และ นำมาซึ่งการพิพากษาลงโทษด้วยเช่นกัน ภาพนี้ของพระเจ้าในโลกปัจจุบัน ไม่ค่อยมีใครอยากจะพูดถึง เพราะไม่ค่อยมีคนอยากฟัง พระเจ้าน่ากลัวเกรง น่ายำเกรง ด้วยนะครับ พระเจ้าไม่เพียงแค่มีเมตตา อดทนนาน รักเราเท่านั้น พระเจ้ายังยุติธรรมและนำมาซึ่งการพิพากษาด้วย
[SLIDE17]
โรม 11:22
“เพราะฉะนั้นจงพิจารณาดูทั้งพระกรุณาและความเข้มงวดของพระเจ้า...”
การ “รู้จัก” พระเจ้า เราจำเป็นต้อง สมดุล ระหว่าง ความรัก ซึ่งประกอบไปด้วย ความเมตตา พระคุณ อดทนนาน กับ ความยุติธรรม น่ายำเกรง และการพิพากษา เราจำเป็นต้อง hold the tension ระหว่างเหรียญสองด้านนี้ไว้ในชีวิตของเรา ไม่เอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง เพราะจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของเรา
เมื่อถึงที่สุด ที่พระองค์ส่งพระบุตรของพระองค์ แล้ว เรายังปฎิเสธพระบุตรของพระองค์ นั้นคือโอกาสสุดท้ายแล้วที่พระเจ้าประทานให้กับเรา หลังจากนี้คือ การพิพากษาลงโทษ ตามความผิดบาปของเรา
[SLIDE18]
ข้อ 16 พระคัมภีร์บอกว่า “ท่านก็จะมาทำลายชาวสวนเหล่านี้แล้ว เอาสวนองุ่นนั้นให้กับคนอื่น คนทั้งหลายเมื่อได้ยินจึงพูดว่า อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย”
คนทั้งหลายที่ได้ยินพระเยซูตรัสก็ต่างตกใจ และสิ่งที่พระองค์ตรัสในคำอุปมาก็เป็นจริงในเวลาต่อมา ในปี คศ 70 โรมก็นำกำลังทหารที่นำโดยนายพลไททัส บุกถล่มเยรูซาเล็ม พระวิหาร ที่เป็นศูนย์กลางอำนาจและแหล่งทำมาหากินของนักการศาสนาถูกทำลายย่อยยับ ชาวยิวต้องระหกระเหินออกจากแผ่นดินของตนเอง สิ้นชาติ พระเจ้านำคนต่างชาติเขามาในแผนการของพระองค์ทางพระบุตร พระคัมภีร์ใช้คำว่า ทาบกิ่ง กับต้นไม้เดิม เราผู้เชื่อที่เป็นคนต่างชาติ คือ ผู้เช่าสวนองุ่นคนใหม่ แทน คนเช่าคนเดิม อิสราเอลที่ไม่กลับใจ
อิสราเอลปฎิเสธพระเยซู วางแผนกำจัดพระองค์ เหมือนอย่าง คนเช่าสวนองุ่น ปฎิเสธลูกชายเจ้าของสวนองุ่น และวางแผนฆ่าลูกชายเจ้าของสวนเพื่อยึดสวนองุ่นเป็นของตนเอง
ปลายทางของคนเช่าสวนองุ่น ที่ไม่กลับใจ คือ ความพินาศ
ปลายทางของมนุษย์ที่ไม่กลับใจ ปฎิเสธพระเยซูคริสต์ คือ ความพินาศเช่นกัน
วันหนึ่งจะมาถึง เมื่อ พระเจ้าจะพิพากษาความบาปของเราตามความยุติธรรมของพระองค์ หากเราปฎิเสธ ความช่วยเหลือของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน
เทศกาลมหาพรต จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก ให้เราได้เข้ามาสำรวจชีวิตของเรา กลับใจใหม่ หันกลับมาหาพระเยซูคริสต์ เพื่อรับการให้อภัยที่ไม้กางเขน เพื่อที่เราจะไม่ต้องถูกพิพากษา ผลของการพิพากษาที่น่ากลัวที่สุด คือความพินาศ
เจ้าของชีวิต และทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราเป็นของพระเจ้า และพระเจ้าเรียกร้อง ให้เรากลับใจใหม่ ถ้าเรายังคิดว่าเราเป็นเจ้าของทุกสิ่ง พระเจ้าปรารถนาที่จะมีส่วนในชีวิตของเรา ในทุกๆด้านในชีวิตของเรา พระเจ้าปรารถนาที่จะมีส่วนในครอบครัวของเรา ในการเลี้ยงลูกของเรา ในความสัมพันธ์สามีภรรยาของเรา ในที่ทำงานของเรา ในการเรียนของเรา ในทุกๆบริบทในชีวิตของเรา เพื่อที่เราจะมีหัวใจที่ขอบพระคุณพระเจ้าในทุกสิ่งที่เรามีในชีวิตของเรา หัวใจที่นมัสการและหัวใจที่ขอบพระคุณพระเจ้าเป็นทุกสิ่งที่พระเจ้าต้องการจากเรา ในฐานะคนเช่าสวนองุ่นของพระเจ้า
บทสรุป
พระเยซูเล่าคำอุปมานี้ด้วยเหตุผลสองประการ พระองค์ต้องการหนุนใจผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อที่พระเจ้าใช้ ผู้ซึ่งได้รับการข่มเหงรังแก จากคนเช่าสวนองุ่น ให้ยังคงสัตย์ซื่อในการทรงเรียกของพระองค์ให้เป็นกระบอกเสียงของพระเจ้า เรียกให้คนกลับใจใหม่ กลับมาหาพระเจ้า ให้ดำเนินชีวิตที่เกิดผล เพื่อพระเจ้าไม่ใช่สำหรับตนเอง ประการที่สองคือ พระองค์กำลังเตือนคนเช่าสวนองุ่นที่กำลังหลงผิด ลุ่มหลง มัวเมา คิดว่าตนเองเป็นเจ้าของสวนองุ่น ว่าวันแห่งการพิพากษาจะมาถึง
[SLIDE19]
คำถามสำหรับการไตร่ตรอง:
1. เราควรจะตอบสนองและมีท่าทีอย่างไร เมื่อเรารู้ความจริง สองด้าน ของพระเจ้า พระคุณ เมตตา อดทนนาน และ ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงยุติธรรม และนำการพิพากษา
2. ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เรามีประสบการณ์ที่ พระเจ้าได้ส่งคนหรือเหตุการณ์เข้ามาเตือนสติเราหรือไม่ แล้วเราตอบสนองอย่างไร แบ่งปัน
