The Great Commission
Notes
Transcript
ฤทธิ์เดชการคืนพระชนม์
พระมหาบัญชา “สาวก...จงสร้างสาวก”
คริสตจักรแองลิกัน ลาดกระบัง/ ไคร้สตเชิช กรุงเทพ
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2021
มัทธิว 28: 16-20
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Word Count 4,400 ; Time 35 minutes
[Slide 1]
พี่น้องที่รักครับ เรายังอยู่ในเทศกาลอีสเตอร์ สัปดาห์นี้ เป็นสัปดาห์สุดท้ายแล้วนะครับ สำหรับเทศกาลอีสเตอร์ และก็เป็นสัปดาห์สุดท้ายสำหรับซีรี่ย์คำเทศนา ฤทธิ์เดชการคืนพระชนม์ ด้วยเช่นกันนะครับ เราจบซีรี่ย์คำเทศนา ฤทธิ์เดชการคืนพระชนม์ ด้วย พระมหาบัญชา ครับ
[Slide 2]
ผมอยากจะเริ่มต้นคำเทศนานี้ แบบแองลิกัน ตามสไลด์ พี่น้องที่บ้าน ตอบสนองร่วมกัน ตามตัวอักษรสีเหลืองเข้ม หรือพี่น้องจะพิมพ์เข้ามาใน Comment ที่ เฟสบุ๊คก็ได้นะครับ
ผู้นำ: พระคริสต์ทรงคืนพระชนม์แล้ว
ที่ประชุม: พระองค์ทรงคืนพระชนม์แล้ว จริงๆ
อาเมน ขอบคุณพระเจ้า ครับ
[Slide 3]
ในคำเทศนาครั้งที่แล้ว ผมได้แบ่งปันถึง สามความจริง พระเยซู หลังจากทรงเป็นขึ้นจากความตาย ได้เปิดเผยกับสาวกของพระองค์ คือ (1) ที่ความคิด เข้าใจความจริงตามพระวจนะของพระองค์ เข้าใจความหมายของข่าวประเสริฐ การกลับใจจากบาป รับการยกโทษ (2) ภายในจิตใจ การเสด็จมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชีวิตภายใน เพื่อที่สาวกจะทำพันธกิจด้วยฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และ (3) ด้วยสองมือ งานพันธกิจที่พระองค์ทรงมอบหมาย ให้เราลงมือทำ
พระคัมภีร์ใน เช้า / บ่าย วันนี้ เป็นหนึ่งในข้อพระคัมภีร์ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดีครับ คือ “พระมหาบัญชา” เป็นเหมือนกับการ “โฟกัส” เข้าไปใน ความจริงประการที่สามคือ พันธกิจ หรือ Mission ภารกิจพระเยซูคริสต์ทรงมอบหมายให้กับสาวกของพระองค์ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ประทับที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าพระบิดา
คำเทศนาใน เช้า / บ่าย นี้ จึงเป็นคำเทศนาที่ เน้น หรือ โฟกัสที่ Action อย่างเดียวเลยนะครับ คือสิ่งที่เราต้องลงมือทำ ด้วยสองมือ ของเรา ผมหมายถึง เราต้องปาดเหงื่อ ลงทุนลงแรง ครับ สำหรับพันธกิจ หรือ ภารกิจ ที่พระองค์ทรงมอบหมาย
พี่น้องที่รักครับ หาก พระเยซูไม่เป็นขึ้นจากความตาย ก็จะไม่มีพระมหาบัญชา ครับ เพราะไม่มีชัยชนะเหนือความตาย ไม่มีชัยชนะเหนือความบาป ไม่มีข่าวดีให้เราต้องออกไปประกาศ
มนุษย์ ก็ยังคงต้องก้มหน้ารับผลของความบาปต่อไป และเดินหน้าไปสู่ความพินาศ แต่เพราะพระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย มีชัยชนะเหนือความตาย สำเร็จตามคำพยากรณ์ในพันธสัญญาเดิม
[Slide 4]
ในอิสยาห์ 25:8 และ โฮเชยา 13:14
“ความตายก็ถูกกลืนเข้าในชัยชนะแล้ว โอ ความตาย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน? โอ ความตาย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
พี่น้องที่รักครับ ฤทธิ์เดชการคืนพระชนม์ ทำให้ วันนี้เราจึง ได้รับมอบหมายภารกิจที่สำคัญ คือพระมหาบัญชา จากพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นขึ้นจากความตาย พันธกิจที่นำข่าวดีนี้ ไปประกาศให้ทั่ว ข่าวดีของ ความรอดพ้นจากความบาป กลับใจจากบาป และรับการยกโทษบาป กลับคืนดีกับพระเจ้า รับความหวังในชีวิตนิรันดร์ ที่พบแล้วในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นผลแรก ของการเป็นขึ้นจากความตาย
เช้า / บ่าย วันนี้ เราจะเข้ามาดูในรายละเอียดของ งาน พันธกิจ มิชชั่น ที่พระเยซูสั่ง เป็นภาระกิจที่ให้เรามีส่วนร่วม หรือ “พระมหาบัญชา” คำสั่งที่ยิ่งใหญ่
[Slide 5]
ข้อที่ 18-20
“พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับพวกเขาว่า สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติสมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”
พระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ ต่อ สาวก หรือศิษย์ของพระองค์ เริ่มต้นด้วย สิทธิอำนาจของพระองค์เอง ผู้ทรงเป็นพระผู้ไถ่ ผู้ทรงมีชัยชนะเหนือบาปและความตาย ในข้อ 18 พระองค์เริ่มต้นพระมหาบัญชา ด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์เองว่า “สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว...”
และจึงตามด้วย คำสั่งหลัก ในพระมหาบัญชา คือ จงสร้างสาวก ในข้อ 19 ด้วยสิทธิอำนาจทั้งสิ้นของพระเยซูคริสต์ “เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา...”
คำกริยา
นำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา เป็นคำกริยาหลัก ของพระมหาบัญชา เป็นคำสั่ง ไม่ใช่คำข้อร้อง ไม่ใช่คำแนะนำ คำสั่งให้สร้างสาวกของพระเยซู ด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์เอง พระเยซูคริสต์เป็นเจ้าของสิทธิอำนาจสูงสุด ได้ใช้สิทธิอำนาจนี้ ให้ สร้างสาวก
แล้วคำสั่งนี้สำหรับใครครับ
จากบริบทของพระคัมภีร์ตอนนี้ พระมหาบัญชา นี้ สำหรับ สาวก หรืออัครทูตที่เหลืออยู่ในเวลานั้น 11 คน (ยูดาส ไม่อยู่แล้ว) พบในข้อที่ 16
“แต่สาวกสิบเอ็ดคนก็ไปยังกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูทรงกำหนดไว้”
ถึงเวลาแล้ว ที่สาวกของพระองค์ สาวกรุ่นที่หนึ่ง ที่พระองค์ทรงเรียก “จงตามเรามา” จะต้องมีหน้าที่ในการสร้างสาวก รุ่นถัดไป เพื่อ สร้างสาวกจากชนทุกชาติ ให้สำเร็จ
“สาวก... จงสร้างสาวก” สาวกของพระเยซู ได้รับมอบภารกิจที่สำคัญ คือ จงสร้างสาวก
“ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา”
สาวก...สร้างสาวก
พี่น้องครับ คำถามที่สำคัญสำหรับเราใน เช้า/ บ่าย วันนี้คือ วันนี้เราเป็นสาวกของพระเยซูหรือเปล่าครับ ถ้าเราเป็นสาวก เราต้องสร้างสาวกครับ ไม่มีทางเลือก เพราะนี่คือ คำสั่ง
และพระคัมภีร์ตอนนี้ จะเปิดเผยกับเราว่า เราต้องสร้างสาวก อย่างไร
สาวกรุ่นที่หนึ่ง ที่ พระเยซู คริสต์ทรงสร้าง ตามการทรงเรียกของพระองค์ สาวกทั้ง สิบสองคน ถูกเลือกโดยพระเยซูคริสต์ และ พระเยซูคริสต์ได้ใช้เวลาในการสร้างสาวกเหล่านี้อย่างตั้งใจ ทรงใช้เวลาอย่างเฉพาะเจาะจงกับ สาวกทั้งสิบสองคน และกับ กลุ่มสาวกคนสนิทของพระองค์สามคน คือ เปโตร ยากอบ และ ยอห์น เหล่าสาวกกลุ่มนี้ ที่พระเยซูคริสต์ได้ ลงมือสร้าง อุทิศเวลากว่า สามปี ในการสร้างชีวิตของพวกเขาขึ้นมา
[Slide 6]
ความจริง พระกิตติคุณมัทธิว ก็บันทึกว่า มีฝูงชนติดตามพระองค์ เป็นจำนวนมาก แต่เราก็ทราบนะครับว่า ไม่ใช่ทุกคนในฝูงชนที่กำลังติดตามพระเยซูคริสต์ จะเป็นสาวกของพระองค์ มีคนจำนวนมากที่ติดตามพระเยซูคริสต์ อาจมาเพราะอยากเห็นการอัศจรรย์ มาเพื่อหวังว่าจะได้รับพระพร มาเพราะอยากมาฟังคำสอนของพระองค์ที่ประกอบไปด้วยสิทธิอำนาจและสติปัญญา แต่มีเพียงไม่กี่คนครับที่เป็นสาวกของพระองค์
มีคำกล่าวอย่างนี้ครับ พี่น้องลองฟังและคิดตามในขณะที่ผมพูดนะครับ
คริสเตียนมีหลายคน แต่สาวกมีเพียงไม่กี่คน คำกล่าวที่สองครับ
คริสเตียนกับสาวกก็ไม่แตกต่างกัน หรือ จริงๆแล้ว
คริสเตียนกับสาวกมีความแตกต่างกันจริงๆ
สาวกทุกคนเป็นคริสเตียน หรือว่า ความจริงแล้ว
คริสเตียนทุกคนเป็นสาวก หรือ จริงๆแล้ว
ไม่ใช่คริสเตียนทุกคนจะเป็นสาวก
งงหรือยังครับ พี่น้องคิดอย่างไรครับ กับ คำกล่าวเหล่านี้
ผมคิดว่า คำตอบคือ จริงๆก็ ถูกทุกข้อ นะครับ ขึ้นอยู่กับว่า เราจะใช้ คำว่า คริสเตียน กับ สาวก ในบริบทไหน ความจริงแล้วไม่ว่าจะอยู่ในบริบทใดๆ ก็ตาม ที่ถูกต้องตามน้ำพระทัยพระเจ้า คือ “คริสเตียนทุกคน ต้องเป็น สาวกของพระเยซู คริสต์” ผมก็หวังนะครับ ว่าโดยพระคุณพระเจ้า ให้คริสเตียนทุกคนที่กำลังฟังคำเทศนาอยู่ในเวลานี้ เป็นสาวกของพระเยซู เพราะนั้นหมายถึงว่า พระมหาบัญชา ของพระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์ตอนนี้ สำหรับ เราคริสเตียนทุกคนที่นี่
คำว่า สาวก ในพระคัมภีร์ตอนนี้ ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา
พระเยซูคริสต์ เป็นผู้เรียก สาวกของพระองค์ พระคัมภีร์บันทึกว่า พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา” เป็นการทรงเรียก สู่การเป็นสาวก ดังนั้นการเป็นสาวกจึงหมายถึง การเดินทางของชีวิตตามรอยเท้าของพระเยซูคริสต์ การที่มีชีวิตของพระเยซูเป็นแบบอย่าง เลียนแบบชีวิตของพระเยซู
สาวก มาจากภาษากรีก ว่า มาเธเทส ให้ความหมายถึง ลูกศิษย์ นักเรียน เด็กฝึกงาน ลูกมือฝึกหัดผู้กำลังเรียนรู้งาน จากอาจารย์ หรือจากปรมาจารย์
การเรียนในสมัยก่อน แตกต่างจากการเรียนในปัจจุบันมาก การเรียนในสมัย ก่อน ลูกศิษย์ หรือสาวก จะมีความใกล้ชิดกับอาจารย์ มาก การเรียนรู้ของนักเรียน หรือลูกศิษย์เป็นมากกว่า แค่การถ่ายทอดความรู้ทางสมอง เท่านั้น แต่หมายถึง ลูกศิษย์ได้รับรู้ เรียนรู้และซึมซับถึง วิถีชีวิตและ ค่านิยมจากอาจารย์ด้วย เพราะลูกศิษย์ที่ฝากตัวจะไปอาศัยอยู่กับอาจารย์ ค่อยช่วยงาน และปรนนิบัติรับใช้อาจารย์ด้วย
ภาพที่ใกล้เคียงที่สุดในปัจจุบัน คือ ภาพของ พี่เลี้ยงกับ น้องเลี้ยง พี่เลี้ยงกับลูกแกะ ที่ใช้เวลาด้วยกัน เรียนพระคัมภีร์ด้วยกัน อธิษฐานเผื่อกันและกัน กินข้าวด้วยกัน ทำกิจกรรมด้วยกัน พระคัมภีร์ให้ภาพของ การสร้างสาวก มาเธเทส แบบ ชีวิตกระทบชีวิต เหล็กลับเหล็ก
การสร้างสาวก เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อเรามีส่วนในการช่วยเหลือให้ลูกแกะของเรามีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงให้เป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ การสร้างสาวกจึงไม่ใช่ เป็นเพียงโปรแกรม ที่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด
อาร์คบิชอป มูนฮิง ศาสนเขตมาเลเซียตะวันตก เวลาท่านรับนักศึกษาพระคริสตธรรมเข้ามา ฝึกงานในคริสตจักรของท่าน ท่านให้นักศึกษาฝึกงานอยู่กับครอบครัวที่บ้านของท่าน ให้ได้ใช้เวลากับท่านในครอบครัว ติดตามท่านไปในงานรับใช้ ในที่ต่างๆ ให้นักศึกษาฝึกงานได้ซึมซับวิถี การเป็นผู้รับใช้พระเจ้าไม่เฉพาะที่คริสตจักรเท่านั้น แต่ในชีวิตส่วนตัวของท่านด้วย เป็นภาพเดียวกันกับที่ พระเยซูทรงสร้างสาวกของพระองค์ สาวกอยู่อาศัย ติดตามกับพระเยซูตลอด เห็นวิถีชีวิต การดำเนินชีวิตของพระองค์ เพราะการสร้างสาวก ไม่ใช่เป็นเพียง การถ่ายทอดแค่ความรู้ในสมอง เป็นมากกว่าการเรียนพระคัมภีร์ แต่เป็นการซึมซับวิถีชีวิต ของการเป็นสาวก ด้วย ชีวิตกระทบชีวิต เหล็กลับเหล็ก
นอกจากนี้แล้ว คำว่า สาวก ของพระเยซู คริสต์ ในภาพที่กว้างกว่า ไม่ได้หมายถึงเฉพาะแค่ สาวก สิบเอ็ดคน ในพระคัมภีร์ตอนนี้เท่านั้น แต่หมายถึงสาวกในรุ่นถัดๆไปด้วยที่ได้รับการสร้างและปูพื้นฐานจากบรรดาอัครทูต หรือสาวกรุ่นแรก เพื่อทำให้พระมหาบัญชาสำเร็จ คือ สร้างสาวกของพระเยซูจากชนทุกชาติ
พระมหาบัญชาจึงหมายถึง พวกเราด้วย ที่เป็นสาวกของพระเยซู ที่เป็น ผู้เชื่อที่ติดตาม อุทิศตัว ยอมจำนน และเชื่อฟัง พระเยซูคริสต์
มาเธเทส จึงหมายถึง ผู้เชื่อที่รับเอาวิถีชีวิตของพระเยซูมาเป็นวิถีชีวิตของตนเอง ตามการทรงเรียกของพระเยซูคริสต์ในชีวิตของตนเอง และปราถนาที่จะมีชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้นๆ ในทุกๆวัน ทำตามพระมหาบัญญัติของพระเยซูคริสต์ คือ รักพระเจ้าสุดๆ และ รักเพื่อนบ้านจริงๆ
สาวก แบบนี้แหละ คือ มาเธเทส ที่พระเยซูทรงสั่งในพระมหาบัญชา ว่าให้ สร้างสาวก
แล้วสาวกของพระองค์ จะสร้างสาวกอย่างไร ? การสร้างสาวก คือ การนำคนมาหาพระเยซูคริสต์ มีอยู่สามประการ เราพบในคำกริยาช่วย ที่ช่วยสนับสนุนกริยาหลัก คือ สร้างสาวก ให้สำเร็จ
[Slide 7]
พบในข้อ 19 และ 20
“เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติสมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้...”
[Slide 8]
มีอยู่สาม Action ด้วยกันนะครับ อย่างที่ผมบอกนะครับ พันธกิจ คือ การลงมือทำ ลงมือปฎิบัติ
(1) จงออกไป
(2) จงบัพติสมา
(3) จงสั่งสอน
คำกริยาช่วยขยาย วิเศษณ์จะมีโทน ที่เป็นลักษณะคำสั่ง ด้วย เพราะจะผันไปตามมาคำกริยาหลัก ที่เป็นคำสั่งคือ จงสร้างสาวก
พี่น้องที่รักครับ การสร้างสาวก ไม่มีทางลัด ต้องลงมือทำ
(1) ประการที่หนึ่ง จงออกไป พระเยซูหมายถึงว่า เหล่าสาวกจะต้องออกไปประกาศข่าวดี นี้ให้กับทุกๆคนได้รับรู้ ไปยังบรรดาชนทุกชาติ มีความหมายถึง ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกเชื้อชาติ ในทุกๆหมู่บ้าน ในทุกๆชุมชน
บรรดาสาวกในพระคัมภีร์ตอนนี้ ต่างพร้อมใจกัน ออกไป เพื่อประกาศข่าวดีนี้ เราพบใน
[Slide 9]
กิจการ 1:8 เมื่อพระเยซูตรัสกับสาวก หรืออัครทูตว่า
“ แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”
หนังสือ กิจการของอัครทูต ทั้งเล่ม ได้บันทึกถึง Action นี้ครับ คือ การออกไป ของบรรดาอัครทูต และสาวกของพระองค์ในการออกไปประกาศข่าวดี ของแผ่นการแห่งความรอดนี้ ไปยังบรรดาประชาชาติ จนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก
พี่น้องครับ อัครทูต บรรดาสาวกของพระองค์ ต้องออกเดินทางออกจากบ้านเกิด การเดินทางที่ต้องเสี่ยงภัย การเดินทางที่อาจจะหมายถึงว่า พวกเขาอาจจะไม่ได้กลับมาพบหน้าครอบครัว ญาติพี่น้องเขาอีก สู่ดินแดนที่อาจจะพูดภาษาที่พวกเขาไม่เข้าใจ พวกเขาต้องปรับตัว เรียนภาษาใหม่ ปรับตัวกับวัฒนธรรม ความเป็นอยู่และอาหารการกิน เพื่อประกาศข่าวประเสริฐ เพื่อสร้างสาวกของพระเยซู จากชนทุกชาติ
เราเห็นแบบอย่างนี้ใกล้ตัวเราครับ ครอบครัวอาจารย์เจอร์รี่ ครอบครัวอาจารย์ชิงวา อาจารย์แอนดรูว์ และไดอาน่า อาจารย์ชอคีและภรรยาที่รังสิต เจอร์รี่ และยาหุ้ยที่เชียงใหม่ ที่มาเชื่อฟัง พระมหาบัญชาการ จงออกไป จากประเทศบ้านเกิดของตนเอง มาที่นี่ เพื่อพันธกิจ การสร้างสาวกคนไทย
ประการที่หนึ่งนะครับ การสร้างสาวก ต้องมี การออกไป เพื่อการประกาศข่าวดี
จะไม่มีการสร้างสาวก ถ้าไม่มี การออกไปประกาศข่าวประเสริฐ
การออกไปประกาศข่าวประเสริฐ จึงเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสาวก
จงออกไป จึงมีความหมาย ถึง การที่เราจำเป็นต้อง ออกจากขอบเขตความปลอดภัยของเรา ออกจาก Comfort Zone ของเรา เพื่อที่เราจะเติบโตขึ้นในการเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ เหมือนอย่างที่สาวกในยุคแรกทำ พวกเขาเต็มใจที่จะออกจาก comfort zone ของเขา เพื่อไปประกาศข่าวดีทั่วอาณาจักรโรมัน จากเยรูซาเล็ม เดินทางไปตามเส้นทางสายไหม ใช้เวลาเพียงไม่กี่ร้อยปี ข่าวประเสริฐ ไปตะวันออก ไกลถึง เปอร์เซีย อินเดีย และเมืองซีอาน ประเทศจีน ข่าวประเสริฐถูกประกาศลงไปทางใต้ไปไกลถึงทวีปแอฟริกา ถึงเอธิโอเปีย
พี่น้องที่รักครับ พระคัมภีร์ตอนนี้ บอกอย่างชัดเจนว่า การออกไปประกาศ เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสาวก การสร้างสาวกจึงหมายถึง การมีส่วนร่วมกัน ในการที่ผู้เชื่อ ก้าวออกจาก comfort zone ของตนเอง เพื่อมีส่วนทำให้พระมหาบัญชา นี้สำเร็จ คือ การสร้างสาวก
พี่น้องที่รักครับ คำถามที่สำคัญสำหรับเราคือ อะไรเป็น ขอบเขตความปลอดภัยของเรา อะไรเป็น Comfort Zone ของเรา
การออกไป ออกจาก Comfort Zone ของบางคน อาจหมายถึง การตัดสินใจ ประกาศข่าวประเสริฐ กับเพื่อนบางคนในที่ทำงาน
การตัดสินใจ ประกาศข่าวประเสริฐกับ พี่น้องของเราที่บ้าน
พี่น้องครับ อาจารย์เปาโล หนุนใจ ผู้เชื่อในโรม นะครับ
[Slide 10]
โรม 1:16 “ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด....”
พี่น้องที่รักครับ อย่าละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐมีฤทธิ์อำนาจช่วยให้คนได้รับความรอดได้ ช่วยให้ผู้คนหลุดพ้นจากพันธนาการของบาป รับชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์
ถ้าพี่เลี้ยงผมคนแรกไม่ก้าวออกจาก comfort zone ของตัวเอง คอยติดตามผมขณะที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ผมก็คงไม่รู้จักข่าวประเสริฐ รับความรอด ถ้าเพื่อนที่ทำงานผม ไม่คอยตามตื้อผม ต้องเรียกว่าตามตื้อเลยนะครับ ให้เข้าร่วมอัลฟ่าในที่ทำงาน ผมก็คงไม่ได้กลับมาหาพระเจ้า ไม่ได้มานมัสการที่คริสตจักรไคร้สตเชิช วันนี้คงไม่ได้มาเป็นผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลา ตามการทรงเรียก วันนี้ผมก็ไม่รู้ว่าผมจะอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ มีใครบางคน ยอมก้าวออกจาก Comfort zone ของตนเอง เพื่อประกาศข่าวดีกับผม ตามผมกลับบ้าน
การออกไป ออกจาก Comfort Zone ของบางคน อาจหมายถึง การตัดสินใจที่จะเป็นพี่เลี้ยง ดูแลชีวิตลูกแกะ ทำในสิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ทำในสิ่งที่คิดว่าเราทำไม่ได้หรอก หรือทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ
เพราะ comfort zone ของคนๆนั้น อาจหมายถึง เป็นคริสเตียนมาหลายปี มีชีวิตที่สบายๆแล้ว มานมัสการพระเจ้าวันอาทิตย์ เข้ากลุ่มบ้างจะได้มีเพื่อน มีสังคม ถวายทรัพย์บ้าง รับใช้พระเจ้าบ้างตามโอกาส แค่นี้ก็พอแล้ว
ศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งชาวสิงคโปร์ ครั้งหนึ่ง ท่านได้เคยเทศนาไว้ ท่านเป็นห่วงคริสตจักรที่ประเทศสิงค์โปร์ เพราะสมาชิกในคริสตจักร รวมถึงอาจารย์ด้วย อยู่ในโหมด ของ คนดูแลตู้ปลา แทนที่จะ ออกไป ทำหน้าที่เหมือนอย่างที่พระเยซูบอกกับเปโตร ว่า ต่อไปนี้ ท่านจะจับคนเหมือนจับปลา คริสตจักรกลายเป็นตู้ปลา เป็น comfort zone ของสมาชิกในคริสตจักร รวมถึงอาจารย์ด้วย มีหน้าที่ ดูแลตู้ปลา
พี่น้องที่กำลังอยู่ใน comfort zone นี้อยู่ วันนี้ พระเจ้ากำลังท้าทายเราให้ออกจาก Comfort Zone ของเรา เพื่อที่เราจะเติบโตขึ้นไปอีกขั้นในการเดินทางไปกับพระองค์
กัปตันเรือที่เชี่ยวชาญคือ ผู้ที่ตัดสินใจฝึกฝนตนเอง กล้าที่จะนำเรือออกจากฝั่ง เพื่อเผชิญกับคลื่นลม และพายุ
ในตอนท้ายของพระมหาบัญชา พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” พี่น้องครับ มีพระเยซูคริสต์อยู่ด้วยกับเราในเรือ
พระเจ้าประทาน พระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงเป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์ ให้อยู่กับเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นฤทธิ์เดชในการประกาศข่าวดี พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งเราไว้ให้ต้อง ออกไปประกาศข่าวประเสริฐตามลำพัง แต่จะมีหมายสำคัญรับรองการประกาศที่นั้นด้วย เมื่อเราทำส่วนของเรา พระเจ้าก็จะทำส่วนของพระองค์ด้วยครับ เมื่อเราก้าวออกไปด้วยความเชื่อ อธิษฐานเผื่อผู้เชื่อใหม่ ผู้สนใจ พระเจ้าจะทำส่วนของพระองค์
ตัวผมเองมีประสบการณ์มากมาย ผมตื่นเต้นทุกครั้ง ไปกับคำพยานของพี่น้องที่รักทุกคนในกลุ่มเซล Small Group เมื่อเราอธิษฐานเผื่อซึ่งกันและกัน ผมได้ยินคำพยานขอบคุณพระเจ้าในทุกๆคนที่เคยเป็นผู้เชื่อใหม่ในกลุ่มเซล Small Group พี่น้องครับ ถ้าเราไม่ ยอมออกจาก Comfort Zone ของเรา เราจะไม่มีทางได้มีประสบการณ์เหล่านี้เลยครับ ประสบการณ์ที่จะทำให้เราเติบโตขึ้นในความเชื่อ ในการเดินไปกับพระเจ้า
วันนี้ Comfort Zone ของพี่น้องคืออะไรครับ พระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ใน เช้า / บ่ายวันนี้ คือ จงออกไป จงออกไป เพื่อประกาศข่าวดีครับ พี่น้อง
[Slide 11]
(2) จงบัพติสมา พวกเขา
ในข้อ ที่ 19 “...จงบัพติสมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์”
เราออกไปเพื่อประกาศข่าวดี และ บัพติสมา ในพระนามพระบิดา พระบุตร และ พระวิญญาณบริสุทธิ์
บัพติสมาเป็นสัญลักษณ์ ของการกลับใจใหม่ ปฎิเสธการงานของเนื้อหนัง ปฎิเสธค่านิยมที่ว่างเปล่าของโลก และ ปฎิเสธการงานของผีมารซาตาน หันกลับมาหาพระคริสต์ เข้าส่วนในการตาย และเป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระคริสต์ รับชีวิตใหม่ในพระคริสต์และเข้าส่วนในพระกายของพระคริสต์ เข้าร่วมเป็นสมาชิกในครอบครัวคริสตจักร
ประการที่สองครับ บัพติสมา คือการต้อนรับเขาเข้าสู่ชุมชนแห่งความเชื่อ รับการสร้างชีวิตในชุมชน การสร้างสาวก ไม่สามารถเกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว ลำพังได้ ไม่มีสาวกแบบมาคนเดียว การสร้างสาวก เกิดขึ้นในพระกายของพระคริสต์ คือคริสตจักร ในชุมชนของผู้เชื่อ การสามัคคีธรรมของผู้เชื่อ ในภาพใหญ่คือการนมัสการร่วมกันในวันอาทิตย์ การสามัคคีธรรมผ่านพิธีศักดิ์สิทธ์ พิธีมหาสนิท และในภาพย่อยคือ ผ่านกลุ่มสามัคคีธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเซล Small Group กลุ่มสร้างสาวก กลุ่มอธิษฐาน กลุ่มเรียนพระคัมภีร์ กลุ่มอนุชน กลุ่มสตรี และอีกหลายๆกลุ่ม
พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นแบบอย่างในการสร้างสาวก เมื่อพระองค์เรียกสาวก พระองค์เรียกให้พวกเขามาอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ทรงสร้างสาวกรุ่นแรกในกลุ่มย่อย ผ่านการสามัคคีธรรม คริสตจักรยุคแรกก็เช่นเดียวกัน สร้างสาวกในคริสตจักรตามบ้าน กลุ่มสามัคคีธรรมตามบ้าน กลุ่มสามัคคีธรรมในพระวิหาร
ผู้เชื่อใหม่ทุกคนในคริสตจักร ต้องมีพี่เลี้ยง มีกลุ่มสามัคคีธรรมที่ผูกพันตัว เพื่อช่วยส่งเสริมในการสร้างสาวก นี่จึงเป็นหัวใจพันธกิจของคริสตจักร
(3) จงสั่งสอน
ในข้อ 20 “และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้...”
อย่างที่บอกนะครับ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างในการสั่งสอนสาวกของพระองค์ การสอนที่ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นในห้องเรียน แต่เป็นการสร้างสาวกอย่างตั้งใจ สอนผ่านวิถีชีวิต สาวกที่ใช้ชีวิตร่วมกันพระเยซูคริสต์ตลอดกว่า สามปี พระเยซูทรงเป็นตัวอย่าง สอนสาวกในการอธิษฐาน การทำพันธกิจ โดยทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเทศนาสั่งสอนฝูงชน การอธิษฐานรักษาคนเจ็บป่วย การขับผี และการประกาศ
พระเยซูยังส่งสาวกออกไปเป็นคู่ๆด้วย เพื่อทำพันธกิจ เป็นการสอนแบบ On the job training สอนในภาคปฎิบัติ นอกจากเรียนรู้จากพระองค์ เพียงอย่างเดียว
การสร้างสาวก คือ การสั่งสอน เพื่อให้พวกเขา ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งท่านไว้ สอนให้เขาถือรักษาพระมหาบัญญัติ คือ รักพระเจ้าสุดๆ และรักเพื่อนบ้านจริงๆ
“สอน” ให้ “เชื่อฟัง” ในทุกสิ่ง ที่พระองค์ทรงบัญชา นี่เป็นส่วนหนึ่งของการสร้าวสาวก
พี่น้องที่รักครับ พันธกิจที่เป็นหัวใจของคริสตจักร คือการสร้างสาวก ของพระเยซูคริสต์ ให้สมาชิกของคริสตจักรทุกๆคน เป็น สาวกที่มีหัวใจเพื่องานพันธกิจ เชื่อฟัง พระมหาบัญชา ที่พระเยซูตรัสสั่ง คือ
“...สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติสมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”
การสร้างสาวกของพระคริสต์ เริ่มต้นที่ตัวเราก่อน คือ ชีวิตของเราที่เป็นสาวกของพระเยซู “สาวก...ที่มีภาระหน้าที่ในการสร้างสาวก”
[Slide 12]
สาวก สร้างสาวก จากคำสั่ง ให้ ทำสามสิ่ง คือ จงออกไป จงบัพติสมา และ จงสั่งสอน
คริสตจักร จะต้องไม่ละทิ้ง พันธกิจการสร้างสาวก ของพระมหาบัญชา ไม่หยุดแค่ การสร้างสาวกใน คริสตจักรของเราเท่านั้น โดยพระคุณพระเจ้า ในเวลาที่เหมาะสม เราจะสามารถส่งออกมิชชั่นนารี เหมือนอย่าง ที่เราได้รับ เพื่อสร้างสาวกในที่อื่นๆด้วย พี่น้อง สิ่งนี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้าคริสตจักรไม่ละทิ้ง พันธกิจ การสร้างสาวก เชื่อฟัง พระมหาบัญชา ของพระเยซูคริสต์ “สาวก...จงสร้างสาวก”
ให้เราร่วมใจกันอธิษฐานครับ
พระบิดาเจ้าผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งงานพันธกิจ ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ลงมารับสภาพมนุษย์ในองค์พระเยซูคริสต์ นำพันธกิจแห่งการไถ่ การกลับใจจากบาป การยกโทษ คืนดี ทรงประทานพระเยซูคริสต์ให้เป็นแบบอย่างสำหรับเราในการสร้างสาวก สาวกที่ ยอมจำนนและเชื่อฟัง ที่ดำเนินชีวิตเป็นที่ชอบพระทัยพระองค์ ขอพระองค์ทรงสอนเราในการสร้างสาวก เริ่มต้นที่ตัวลูกเองที่จะเป็นสาวก และมีส่วนในการสร้างสาวก เพื่อที่สาวกที่เรามีส่วนสร้าง จะทวีคูณในการสร้างสาวกออกไปอีก สาวกที่เป็นผู้ที่ติดตามพระเยซูคริสต์ สาวกที่ปรารถนาจะมีชีวิตที่เป็นเหมือนอย่างพระเยซูคริสต์ สาวกที่อุทิศตัวในการสร้างสาวก ตามพระมหาบัญชา ด้วย บัญญัติแห่งรัก ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงอยู่ในชีวิตของลูกและงานพันธกิจของคริสตจักร อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน