ความสัตย์ซื่อต่อคำพูด

ชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัย  •  Sermon  •  Submitted   •  42:40
0 ratings
· 306 views
Files
Notes
Transcript
Sermon Tone Analysis
A
D
F
J
S
Emotion
A
C
T
Language
O
C
E
A
E
Social
View more →
“ความสัตย์ซื่อต่อคำพูด”
คริสตจักรไคร้สตเชิช กรุงเทพ/ แองลิกันลาดกระบัง
วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2022
มัทธิว 5: 33-37
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Word Count 4,000 ; Time 30 minutes
พระเจ้าสถิตกับท่าน [และสถิตกับท่านด้วย]
เรายังอยู่ในชุดคำสอนจาก คำเทศนาบนภูเขาของพระเยซูคริสต์ ในซี่รีส์ “ชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัย” หัวข้อสามสัปดาห์ที่ผ่านมา
การถือรักษาธรรมบัญญัติ ธรรมบัญญัติคือขอบเขตของความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ต้องมีขอบเขต ชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัยคือ ชีวิตที่มีขอบเขต
หัวข้อเกี่ยวกับความโกรธ หลีกเลี่ยงจากความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ เริ่มต้นจากท่าทีภายใน ความคิดทัศนคติ พูดถึงการสื่อสารที่เป็นพิษ และ รีบเร่งในการจัดการกับความสัมพันธ์ที่เป็นพิษด้วยการคืนดี
หัวข้อ วันอาทิตย์ที่แล้ว ความสัมพันธ์สามีกับภรรยา การแต่งงานระหว่างชายและหญิง มีคำสามคำ มีใครยังจำได้มั้ยครับ “ซื่อสัตย์” รักษาความซื่อสัตย์ทางเพศ “ถาวร” การแต่งงานตลอดชีวิต ไม่หย่าร้าง และ “คุณค่า” สามีภรรยายังต้องเรียนรู้กันและกันตลอดชีวิต
หัวข้อวันอาทิตย์นี้ครับ ความสัตย์ซื่อต่อคำพูดของเรา อยู่ในมัทธิว 5: 33-37 มีเพียงแค่สี่ข้อเท่านั้น แต่ก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาในคำเทศนาให้เราเตรียมใจเรารับพระคำพระเจ้าร่วมกันครับ ด้วยการอธิษฐาน ให้เราก้มศรีษะ หลับตา และอธิษฐานร่วมกันครับ
“พระเจ้าผู้ทรงพระคุณ โปรดประทานหัวใจที่ถ่อม ยินดีรับการสอน และใจที่เชื่อฟัง ในขณะที่ลูกรับการเปิดเผยและสำแดงจากพระคำของพระองค์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอทรงประทานกำลังที่ลูกจะสามารถกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยและสำแดง ให้เป็นจริงในชีวิตของลูก ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน”
บริบทตอนนี้ เรากำลังอยู่ใน คำเทศนาบนภูเขา ในชุดคำสอน ที่เริ่มต้นประโยคที่พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำ...ส่วนเราบอกพวกท่านว่า...” หรือ “ยังมีคำกล่าวไว้ว่า...เราบอกท่านทั้งหลายว่า”
หมายความว่า ในช่วงเวลานั้น มีการตีความธรรมบัญญัติ และ แนวทางปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ โดยบรรดาฟารีสีและธรรมาจารย์ที่พระเยซูไม่เห็นด้วย เพราะการตีความธรรมบัญญัติและแนวทางปฎิบัติตามการตีความ โดยฟารีสีและธรรมาจารย์ผิดเพี้ยนไปจาก “คุณค่า” หรือ “ค่านิยม” ของพระยาห์เวห์ ผู้ทรงประทานธรรมบัญญัติให้
คำเทศนาบนภูเขา ในมัทธิว 5-7 เปิดเผยถึง “สิทธิอำนาจ” ของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงมีสิทธิอำนาจในการตีความ และสั่งสอน ธรรมบัญญัติ มากยิ่งกว่า ฟารีสีและธรรมาจารย์ที่มักจะกล่าวหาพระเยซูว่า ขัดกับพระบัญญัติพระเจ้า พระเยซูและสาวกทำผิด ด้วยการมาล้มล้างธรรมบัญญัติ
ยกตัวอย่าง ในอาทิตย์ที่แล้ว เรื่องการหย่าร้าง คำสอนของ รับไบ Hillel ที่มีชื่อเสียงในสมัยสอนพระเยซู สอนว่า สามี สามารถหย่าภรรยาได้ไม่ว่าสาเหตุใดๆก็ตามโดยยึดการตีความตามตัวอักษรใน เฉลยธรรมบัญญัติ 24:1 เมื่อตีความแบบนี้แล้ว และเป็นที่ยอมรับเพราะรับไบท่านนั้นมีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับ ผลที่ตามมาคือ ตัวอย่างเช่น เพียวแค่สามีไม่พอใจ ภรรยาทำอาหารไม่อร่อย หรือด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม สามีมีสิทธิที่จะหย่ากับภรรยาคนนั้นได้ทันที และกลายเป็นมาตรฐานที่สามีชาวยิวสมัยนั้นทำตามได้ ไม่ผิดธรรมบัญญัติ กลับใช่ช่องของธรรมบัญญัติ อ้างความชอบธรรมในการเอาเปรียบสตรีเพศ ซึ่งในสมัยนั้นฐานะก็ไม่เท่าเทียมอยู่แล้ว “คุณค่า” “ค่านิยม” ของการแต่งงาน ที่พระเจ้าสถาปนา ถูกละเลยเพราะมีการตีความแบบนี้ เป็นต้น
พี่น้องที่รักครับ พระเยซู จึงตรัสว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำ...ส่วนเราบอกพวกท่านว่า...” หรือ “ยังมีคำกล่าวไว้ว่า...เราบอกท่านทั้งหลายว่า”
เพื่อแก้ไข การตีความแบบผิดๆเหล่านี้ แม้จะดูเหมือนถูกต้องตามธรรมบัญญัติตามตัวอักษร แต่ได้ละเลย “คุณค่า” หรือ “ค่านิยม” ที่พระเจ้า สถาปนาชีวิตสมรส การแต่งงาน โดยพระเยซูได้อ้างอิง โทราห์เหมือนกันครับ พระประสงค์พระเจ้าตั้งแต่ใน ปฐมกาล คุณค่า ของการแต่งงาน ที่ว่า “ชายและหญิง...เขาทั้งสองเป็นเนื้อเดียวกัน” อย่าให้ผู้ใดทำให้ต้องแยกจากกันเลย
พระเยซูตำหนิ ฟารีสีและธรรมาจารย์ ที่สอนประชากรของพระเจ้าให้หลงทาง ทรงเรียกพวกเขาว่า คนนำทางที่ตาบอด เหมือนคนตาบอด นำทางคนตาบอด ก็ต่าง พากันเข้าป่า เข้ารกเข้าพงไปเลย
พระคัมภีร์ในวันนี้ พระเยซูสอน ค่านิยม ของประชากรของพระองค์ในแผ่นดินพระเจ้า ให้สัตย์ซื่อต่อคำพูดของตนเอง หมายถึง ให้เป็นคนที่ “รักษาคำพูด” สะท้อนพระลักษณะพระเจ้า พระเจ้าที่เป็นเจ้าของแผ่นดินพระเจ้า เป็นพระเจ้าแห่งความซื่อสัตย์และความจริง พระองค์ไม่ทรงมุสา พระองค์ตรัสสิ่งใด สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นและเป็นจริง รักษาสัญญา คำไหนคำนั้น พระองค์ทำตามสิ่งที่พระองค์ตรัสครบถ้วนทุกประการ ดังนั้นเราในฐานะที่เป็นประชากรของพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรพระเจ้า เราก็ต้องดำเนินชีวิตที่สะท้อนพระลักษณะพระเจ้าด้วยเช่นกัน
สดุดี 15 :1-4
ผู้ใดจะอาศัยอยู่ในพลับพลาของพระเจ้า?หมายถึงคนที่จะอาศัยอยู่ในบ้านของพระเจ้า ต้องมีลักษณะอย่างไร?
“1ข้าแต่พระยาห์เวห์ ผู้ใดจะอาศัยอยู่ในพลับพลาของพระองค์? ผู้ใดจะอยู่บนภูเขาบริสุทธิ์ของพระองค์? 2คือผู้ดำเนินชีวิตอย่างหาที่ติมิได้และทำสิ่งที่ชอบธรรม และพูดความจริงจากใจของตน 3ผู้ไม่ใช้ลิ้นของตนในการนินทาว่าร้าย ไม่ทำชั่วต่อเพื่อน และไม่เยาะเย้ยเพื่อนบ้านของตน 4ในสายตาของเขา คนถ่อยเป็นผู้ที่น่าดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่เขายกย่องผู้ที่ยำเกรงพระยาห์เวห์ ถึงสาบานแล้ว และต้องเสียประโยชน์ เขาก็ไม่กลับคำ”
สดุดี 15 ได้ให้ลักษณะของ ผู้เชื่อที่มีชีวิตนมัสการพระเจ้า พระเจ้าทรงมองหาผู้ที่นมัสการพระองค์ สัตย์ซื่อต่อคำพูดของตนเอง คือผู้เชื่อที่พูดความจริงจากใจของตน และ รักษาคำสัญญา รักษาคำปฏิญาณ รักษาคำสาบาน
ความสัตย์ซื่อต่อคำพูด ที่พระเยซูคริสต์สอน ในมัทธิว 5: 33-37 มีอยู่ สามประการ ครับ
(1) “ปฏิเสธ” ไม่มีส่วนในพฤติกรรมการหลอกลวงใดๆทั้งสิ้น (ข้อ 33-34)
“33“อีกประการหนึ่งท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนในสมัยก่อนว่า‘ห้ามเสียคำสัตย์สาบาน คำสัตย์สาบานที่ได้ถวายต่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ต้องรักษาไว้ให้มั่น’ 34ส่วนเราบอกพวกท่านว่า อย่าสาบานเลย...”
ถ้าเราตีความแบบผิวเผิน ตีความตามตัวอักษร เราอาจจะเข้าใจว่าพระเยซูบอกผู้เชื่อว่าห้ามการปฏิญาณ สาบานใดๆทั้งสิ้น ให้เรามาดูความจริงเกี่ยวกับ การสาบาน ปฏิญาณ
เริ่มต้นมาดูจากพันธสัญญาเดิมก่อน ซึ่ง เป็นพระคัมภีร์สำหรับคนยิวในสมัยของพระเยซูคริสต์
ความจริงคือ พันธสัญญาเดิมไม่ได้ห้ามการสาบาน หรือ การปฏิญาณ ความจริงแล้ว พระเจ้า ยังสั่งให้ผู้เชื่อสาบาน หรือ ปฏิญาณเสียด้วยซ้ำ เพราะอะไรนะครับ เดี๋ยวเรามาดูด้วยกันครับ ค่อยตามผมมานะครับ
เฉลยธรรมบัญญัติ 10:20 สำหรับคนยิวนะครับ
“20ท่านจงยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน จงปรนนิบัติพระองค์และติดสนิทกับพระองค์ จงสาบานโดยพระนามของพระองค์”
เยเรมีย์ 12:16 พระเจ้าบอกให้คนต่างชาติ ที่ไม่ใช่คนยิวให้ สาบานในนามของพระองค์ พระยาห์เวห์ตรัสถึงผู้เชื่อที่เป็นคนต่างชาติว่า
“16และถ้าเขาทั้งหลายจะอุตส่าห์ศึกษาทางแห่งประชากรของเรา คือปฏิญาณในนามของเราว่า ‘พระยาห์เวห์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด’ อย่างที่เขาได้สอนประชากรของเราให้ปฏิญาณโดยพระบาอัลแล้ว เขาจะได้รับการสร้างขึ้นไว้ท่ามกลางประชากรของเรา”
ในพันธสัญญาเดิม ปฐมกาล 22:16-18 พระเจ้าทรงสาบาน พระเจ้าเป็นนักปฏิญาณเลยครับ และทรงรักษาคำพูดครับ เพราะทรงสัตย์ซื่อและเป็นความจริง
“16“พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราเองปฏิญาณว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้และไม่ได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า 17ดังนั้นเราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูทั้งหลายของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ 18ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้าเพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา”
ในพันธสัญญาใหม่ มัทธิว 26:63-64 ในขณะที่พระเยซูถูกไต่สอน ก็ต้องกล่าวคำสาบาน
“63แต่พระเยซูทรงนิ่งอยู่ ท่านมหาปุโรหิตจึงกล่าวว่า “เราให้เจ้าสาบานโดยอ้างพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ให้บอกเราว่าเจ้าเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าหรือไม่” 64พระเยซูตรัสตอบว่า “ท่านได้พูดแล้ว แต่เราจะบอกท่านทั้งหลายด้วยว่า
ตั้งแต่นี้ไป พวกท่านจะเห็น บุตรมนุษย์
ประทับข้างขวาของผู้ทรงฤทธิ์เดช
และเสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์”
อาจารย์เปาโลเองก็กล่าวคำสาบาน ใน กาละเทีย 1:20 เพื่อยืนยันกับผู้เชื่อว่า สิ่งที่ท่านกล่าวนั้นล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
“(เรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนี้ ข้าพเจ้าขอกล่าวเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่าข้าพเจ้าไม่โกหกเลย)”
2โครินธ์ 1:23
“23ขอพระเจ้าเป็นพยานฝ่ายจิตใจของข้าพเจ้าว่า ที่ข้าพเจ้ายังไม่ไปเมืองโครินธ์นั้น ก็เพื่อจะงดโทษพวกท่านไว้ก่อน”
ดังนั้นในข้อ 34 เมื่อพระเยซูกล่าวว่า ส่วนเราบอกพวกท่านว่า อย่าสาบานเลย...
ในบริบท พระเยซูไม่ได้หมายถึงว่าห้ามผู้เชื่อกล่าวคำสาบานใดๆเลย แต่ ไม่ให้ผู้เชื่อมีส่วนร่วมในการสาบาน แบบหลอกลวง กล่าวคำสาบานแบบพล่อยๆ ตามที่เขาสอนๆ กันมา
ข้อที่ 1 ครับ เราในฐานะผู้เชื่อต้อง “ปฏิเสธ” ไม่มีส่วนในพฤติกรรมการหลอกลวงใดๆทั้งสิ้น
พระเจ้าทรงอนุญาตให้สาบาน ปฏิญาณก็เพราะว่า มนุษย์มีแนวโน้มที่มักจะพูดโกหกอยู่แล้วโดยธรรมชาตินิสัยบาป ดังนั้น การสาบานในพระนามของพระเจ้า จะมีส่วนช่วยให้คนที่พูดสาบาน ต้องรักษาคำพูดที่ตนเองสัญญาไว้ เพราะต้องยำเกรงพระนามพระเจ้า ไม่ใช้พระนามพระเจ้าในทางที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าผิดสัญญาหรือผิดคำพูด จะมีการพิพากษาลงโทษจากพระเจ้า ในเฉลยธรรมบัญญัติ 23:21 “21“เมื่อท่านบนต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ท่านอย่าล่าช้าในการแก้บน เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงเรียกเอาจากท่านเป็นแน่ และท่านจะมีบาป”
ถ้าเปรียบกับสมัยนี้ ก็เหมือนกับว่า ข้อตกลงจะเชื่อถือได้ต้องมีการเขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร และสามารถฟ้องร้องกันได้ มีบทลงโทษถ้าผิดคำพูด หรือไม่รักษาสัญญา
ความจริงแล้ว สิ่งที่พระคัมภีร์เดิมห้ามไว้เกี่ยวกับการสาบาน หรือ ปฏิญาณ คือ การไม่รักษาคำพูดตามที่สาบานไว้ หรือกล่าวคำสาบาน ปฏิญาณ อย่างพล่อยๆ การสาบาน ปฏิญาณ ต้องกระทำอย่างเข้าใจและเฉพาะในโอกาสสำคัญๆจริงๆเท่านั้น ในบริบทของผู้เชื่อ คือ คำปฏิญาณ ในพิธีบัพติสมา สัญญากับพระเจ้าว่าเราจะหันหลังให้กับชีวิตเก่า ปฏิเสธการงานและค่านิยมที่ว่างเปล่าของโลกนี้ ปฎิเสธเนื้อหนัง และ การงานของมารซาตาน หันกลับมาหาพระเยซูคริสต์และติดตามพระคริสต์ตลอดชีวิตของเรา หรือ ในพิธีแต่งงานศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างสามีภรรยา ที่จะซื่อสัตย์ต่อกันและกัน ไม่ว่าในยามเจ็บป่วยหรือสุขสบาย ในความทุกข์หรือสุข เป็นคำสาบาน ปฏิญาณที่ให้ไว้กับพระเจ้า
สิ่งที่พระคัมภีร์เตือนคือ คำสาบาน ปฏิญาณ ไม่ได้มีไว้ ให้กล่าวอย่างพล่อยๆ และไม่รักษาคำพูด
ใน ปัญญาจารย์ 5: 2 และ 4-6
“2อย่าให้ปากของเจ้าไว และอย่าให้ใจของเจ้าเร็วที่จะพูดสิ่งใดๆ เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าสถิตในสวรรค์ แต่เจ้าอยู่บนแผ่นดินโลก เหตุฉะนั้นเจ้าจงพูดน้อยคำ ... 4เมื่อเจ้าบนไว้ต่อพระเจ้า อย่าชักช้าที่จะแก้บนนั้นให้สำเร็จ เพราะพระองค์ไม่พอพระทัยในคนเขลา จงแก้บนตามที่เจ้าบนไว้เถิด 5ที่เจ้าจะไม่บนก็ยังดีกว่าที่เจ้าบนแล้วไม่แก้ 6อย่าให้ปากของเจ้าเป็นเหตุนำตัวเจ้าให้ทำบาป และอย่าพูดต่อหน้าผู้สื่อสารของพระเจ้าว่า นี่เป็นความผิดพลาด เหตุไฉนจะให้พระเจ้าทรงพระพิโรธเพราะคำพูดของเจ้า แล้วเลยทรงทำลายการงานแห่งน้ำมือของเจ้าเสียเล่า?”
สิ่งที่น่าเศร้าคือ นี่คือสิ่งที่คนยิวทำกัน ในสมัยของพระเยซู เหมือนตัวอย่างของหนังสือหย่าที่ผมบอกในตอนต้น พวกเขากล่าวคำสาบาน ปฏิญาณอย่างพล่อยๆ แล้วก็ไม่รักษาสัญญา ไม่ทำตามที่พูด และใช้วิธีการสาบาน ปฏิญาณเพื่อหลอกลวงคนอื่นๆ เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ได้ อย่างหน้าตาเฉย เพราะบรรดาธรรมาจารย์และฟารีสี ช่วยพวกเขาตีความโทราห์ หาช่องเพื่อที่พวกเขาจะหลอกลวงกันอย่างหน้าตาเฉย โดยที่จิตสำนึกไม่ต้องฟ้องผิดใดๆ
ตัวอย่างคำสอนที่ลงรายละเอียดของการสาบาน ของรับไบในเวลานั้นเช่น ถ้ากล่าวสาบานโดยอ้างถึงเยรูซาเล็มถือว่า คำสาบานนั้นเป็นโมฆะได้ ไม่ต้องรักษาได้ ถือว่าคนที่สาบานไม่ผิดสัญญา แม้ว่าไม่ทำตามคำพูด คำสาบานที่อ้างถึงเยรูซาเล็มผู้กล่าวคำสาบานต้องหันหน้าทิศไปสู่เยรูซาเล็มเท่านั้น จึงถือว่าเป็นคำสาบานที่มีผล
รับไบบางคนก็สอนว่า ตราบใดก็ตามที่สาบานโดยไม่ได้เอ่ยนามพระเจ้า ไม่ว่าจะเอ่ยอ้างอะไรก็ตาม ก็ถือว่ายังไม่มีคำสาบาน ผู้กล่าวคำสาบานนั้นๆ ไม่จำเป็นต้องรักษาสัญญาเป็นต้น
เหมือนสมัยเด็กๆ ของผม ผมไม่รู้ว่าเด็กๆสมัยยังทำกันหรือเปล่า เวลาที่เราจะหลอกเพื่อนๆเราหรือ พ่อแม่เรา ว่าจะพูดความจริง หรือ จะรักษาสัญญา แล้วถ้าเราเอามือมาไขว้ที่หลังไม่ให้อีกฝ่ายเห็น แล้ว ใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางไขว้กัน อุบอิบ เราก็ไม่ต้องรักษาสัญญา หรือพูดโกหกได้ไม่เป็นไร ถ้าเราทำ อุบอิบ แล้ว เราจะสามารถพูดโกหกได้อย่างชอบธรรม ถึงว่าไม่ผิด
นี่คือสิ่งที่คนยิวสมัยพระเยซูเค้าทำกัน โดยอ้างกฎปลีกย่อยเหล่านี้ที่บรรดาธรรมาจารย์ ฟารีสี สอน ใช้เป็นเหตุที่จะหลอกลวงกันได้อย่างชอบธรรม เปิดช่องให้ สาบาน ได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องรักษาสัญญา และเป็นสิ่งที่พระเยซูกล่าวห้ามไม่ให้ผู้เชื่อทำตามค่านิยมเหล่านี้ในสังคมเวลานั้น
มัทธิว 23: 24 พระเยซูตำหนิฟารีสีและธรรมาจารย์ที่ตีความและสอนสิ่งเหล่านี้ว่า
24โอ เจ้าพวกคนนำทางตาบอด เจ้ากรองลูกน้ำออกแต่กลืนตัวอูฐเข้าไป
สอนให้ทำในสิ่งที่หยุ่มหยิ่ม ตีความตามตัวอักษร เข้าข้างกิเลสตัณหา เปิดช่องให้คนทำบาป และกลับละเลย คุณธรรม และ จริยธรรม ค่านิยมของพระเจ้า ละเลยหลักการของพระเจ้า คือ “ความจริง” การรักษาความจริง ละเลยไปว่า พระเจ้าทรงเป็นความจริง พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง
ข้อที่ 1 ครับ เราในฐานะผู้เชื่อต้อง “ปฏิเสธ” ไม่มีส่วนในพฤติกรรมการหลอกลวงใดๆทั้งสิ้น
พี่น้องที่รักครับ ยุคนั้นทำกันอย่างไร เราที่อยู่ในยุคนี้ก็ไม่แตกต่างกันครับ ในบางสถานการณ์ โดยเฉพาะในบริบทสังคมที่เราอยู่นะครับ การติดสินบน การแจ้งข้อความที่เป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง เป็นสิ่งที่เราทำๆกัน โดยไม่รู้สึกผิดใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินเล็กๆน้อยๆ ให้ตำรวจจราจรเวลาที่เราได้ใบสั่ง เพื่อที่เราจะไม่ต้องลำบากไปที่สน. เพื่อไปจ่ายค่าปรับ ในที่ทำงาน เราก็อาจจะลงเวลาในใบล่วงเวลาว่าเราทำงานล่วงเวลา ทั้งๆที่เราไม่ได้ทำงานล่วงเวลา เพื่อรับค่าจ้างเพิ่ม ใครๆเค้าก็ทำกัน หัวหน้างานก็ยอมให้ทำได้ การตอกบัตรให้กับคนอื่นๆที่มาทำงานสาย เดี๋ยวนี้อาจจะยากแล้ว เพราะมีระบบสแกนลายนิ้วมือ
ถ้าเราเป็นผู้ประกอบการ เราอาจจะโกงภาษี หลบเลี่ยงการจ่ายเงินภาษี มีนักบัญชีเก่งๆ มาช่วยเราให้หลบเลี่ยงภาษี มีบัญชีสองเล่ม หรือแม้กระทั่ง การรักษาความซื่อสัตย์ในชีวิตแต่งงานในคำสัญญาในวันแต่งงานกลายเป็นเรื่องของคนโบราณ ล้าสมัย สมัยนี้ใครๆเค้าก็ทำกัน เพื่อนผมบางคน ที่ไม่รู้จักพระเจ้า บอกกับผมว่า ก็แค่เปลี่ยนรสชาติอาหารใหม่ เปิดประสบการณ์ใหม่ ทำได้ ไม่ผิด แถมบางคน ภรรยาก็รับรู้ และยอมรับ ก็ดี ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ฉันจะได้เลี้ยงลูกของฉัน ส่วนเธอก็แล้วแต่ ตามสบาย แทนที่ภรรยา และสามีจะตอบสนองความต้องการต่อกันและกัน เพื่อที่อีกฝ่ายจะไม่ต้องทำบาป สิ่งเหล่านี้กลายเป็นวัฒนธรรมของการหลอกลวงที่อยู่รอบตัวเรา โดยที่บางครั้งเราก็มีส่วนร่วมอย่างไม่ได้ยั้งคิด
พี่น้องครับ สิ่งที่น่าเศร้าคือ วัฒนธรรมการหลอกลวงนี้ บรรดาธรรมาจารย์และฟารีสี ด้วยคำสอนของพวกเขากลับกลายเป็นการส่งเสริม ให้เกิดการหลอกลวง ผิดสัญญา ไม่ต้องรักษาคำพูดใดๆ สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พระเยซูคริสต์ ห้ามไม่ให้ เราในฐานะผู้เชื่อ มีส่วนร่วมใดๆ ในการหลอกลวง
พระเยซูกำลังบอกกับเราว่า ในฐานะผู้เชื่อที่เป็นประชากรของพระเจ้า เราต้องสวนกระแสค่านิยมผิดบาปเหล่านี้ ไม่ดำเนินชีวิตตามอย่างคนในยุคนี้ เราต้อง ปฏิเสธ และไม่มีส่วนร่วมกับพฤติกรรมการหลอกลวงใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่า จะเป็นในที่ทำงานของเรา ที่โรงเรียน ในกลุ่มเพื่อนของเรา ในชีวิตแต่งงานของเรา และที่บ้านของเรา พี่น้องครับ สิ่งที่เราละเลย จะกลายเป็นสิ่งที่เรายอมรับในที่สุด
อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยนะครับ
พี่น้องที่รักครับ คำถามที่สำคัญสำหรับเราในวันนี้ที่พระเจ้าถามเราแต่ละคน คือ วันนี้ เรามีส่วนอะไรหรือไม่ครับ ในการหลอกลวง อยู่หรือไม่ ในที่ทำงาน ความสัมพันธ์ในชีวิตแต่งงาน กับเพื่อนๆของเรา หรือเราก็ทำตามๆกันไป
(2) “ตระหนัก” ว่าพระเจ้าจะทรงพิพากษาทุกๆคำพูดของเรา
พบในข้อที่ 34- 36
“34ส่วนเราบอกพวกท่านว่า อย่าสาบานเลย ไม่ว่าจะทำโดยอ้างถึงสวรรค์ เพราะสวรรค์เป็นที่ประทับของพระเจ้า 35หรืออ้างถึงแผ่นดินโลก เพราะแผ่นดินโลกเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า หรืออ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นราชธานีของพระมหากษัตริย์ 36อย่าสาบานโดยอ้างถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะทำให้ผมขาว หรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้”
อย่างที่ผมบอกนะครับ บริบทในพระคำตอนนี้คือ พวกยิวเหล่านี้ พยายามที่จะหาช่องจากธรรมบัญญัติ เพื่อที่จะสาบานแล้วไม่ต้องรักษาคำพูด คือ โกหกหลอกลวงอย่างชอบธรรม เพื่ออะไรครับ เพื่อที่จะหลีกหนีจากการพิพากษาลงโทษจากพระเจ้า
เลวีนิติ 19:12 “ห้ามสาบานออกนามของเราเป็นความเท็จทำให้พระนามพระเจ้าของเจ้าเป็นที่เหยียดหยาม เราคือยาห์เวห์”
กันดารวิถี 30:2 “เมื่อชายคนไหนบนไว้กับพระยาห์เวห์หรือสาบานผูกมัดตัวเองด้วยคำสัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็อย่าให้เขาเสียวาจา เขาจะต้องทำตามคำทุกคำที่ออกจากปากของเขา”
อพยพ 20:7 “ห้ามใช้พระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าไปในทางที่ผิด เพราะผู้ที่ใช้พระนามของพระองค์ไปในทางที่ผิดนั้น พระยาห์เวห์จะทรงเอาโทษ”
พี่น้องครับ การรู้จักพระเจ้าจึงเป็นสิ่งสำคัญมากครับ คนยิวพวกนี้ รู้จักพระเจ้าผ่านธรรมบัญญัติ พระเจ้าจะอวยพรเขา หรือพิพากษาลงโทษเขาตามตัวอักษรในธรรมบัญญัติ แต่พระเจ้าที่เรารู้จักและเปิดเผยผ่านพระคัมภีร์ไม่ใช่พระเจ้าแบบนั้นนะครับ พระคัมภีร์บอกว่า อย่าเอ่ยนามพระเจ้าอย่างพล่อยๆ ถ้าจะสาบาน หรือปฏิญาณให้ทำในนามของพระเจ้า พวกเขาจึงเปลี่ยนจากพระนามพระเจ้า พระยาห์เวห์เป็น สวรรค์ แผ่นดินโลก เยรูซาเล็ม หรือเป็นศรีษะของพวกเขา เพื่อที่ว่า ถ้าพวกเขาไม่สามารถทำตามคำสัญญาได้ เขาจะรอดพ้นจากการพิพากษาจากพระยาห์เวห์ได้
ในมัทธิว 23:16-22 พระเยซูทรงตำหนิ ฟารีสี ธรรมาจารย์ที่สอนสิ่งเหล่านี้ให้กับคนยิวครับ
มัทธิว 23:16 “วิบัติแก่พวกเจ้า คนนำทางที่ตาบอด พวกเจ้าสอนว่า ใครที่จะสาบานโดยอ้างพระวิหาร คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ใครสาบานโดยอ้างทองคำของพระวิหาร คนนั้นจะต้องทำตามคำสาบาน” ผมอ่านเฉพาะข้อที่ 16 นะครับ เนื่องจากเวลาที่จำกัด พี่น้องมีเวลาไปอ่านจนถึงข้อ 22 นะครับ
สำหรับ พระเยซูแล้ว พระองค์กำลังเตือนพวกเขาเหล่านั้นว่า ถึงแม้ว่าคำสาบานของพวกเขาจะได้เอ่ยพระนามพระเจ้า พวกเขาก็ต้องรักษาสัญญาตามคำพูดของพวกเขา เพราะพระเจ้าจะทรงพิพากษาในทุกๆคำพูดของพวกเขา
สิ่งนี้ก็สอนเราเช่นกันครับ พี่น้องครับ ผมเคยได้ยินผู้เชื่อพูดกับผมว่า ถ้าพูดกับอาจารย์ ศิษยาภิบาล ห้ามพูดโกหก ความจริงฟังดูก็ดีนะ ถ้าเราเป็นอาจารย์ แต่อีกมุมหนึ่ง หมายความว่า ถ้าพูดกับ คนที่ไม่เชื่อ หรือ สมาชิกที่ไม่เป็นอาจารย์ ก็สามารถพูดเท็จได้ใช่มั้ย ? เหมือนกับพระคัมภีร์ตอนนี้ครับ ถ้าสาบานแบบไม่เอ่ยนามพระเจ้า เราก็ไม่เป็นไร พี่น้องครับ พระเยซูกำลังบอกกับเราว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน และไม่ว่า คำสัญญา หรือ คำพูดของเราจะพูดกับใคร ทั้งกับผู้เชื่อ หรือ กับคนที่ไม่เชื่อ ทั้งกับ สมาชิก หรือกับอาจารย์ ศิษยาภิบาลที่คริสตจักร
ความจริง ประการที่สอง สำหรับ ความสัตย์ซื่อต่อคำพูดของเราคือ เราต้องตระหนักว่า พระเจ้าไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะประโยคใดประโยคหนึ่ง หรือ กับใครคนใดคนหนึ่ง พระเจ้าจะทรงพิพากษาในทุกๆคำพูด คำสัญญาของเรา ครับ ไม่ต้องอ้างอะไรอีกแล้ว
ประการที่ (2) “ตระหนัก” ว่าพระเจ้าทรงพิพากษาทุกๆคำพูดของเรา
ในที่สุด ในวันพิพากษา เราต้องรับผิดชอบ ในทุกๆ คำพูด คำสัญญาของเรานะครับ พี่น้องครับ จะไม่มีคำสัญญาใด คำปฏิญาณใด ที่รอดพ้นพระกรรณของพระเจ้าไปได้ครับ
วิวรณ์ 22:15 พระเยซูเตือนคนที่จะไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์ครับ หนึ่งในนั้นคือ คนที่ประพฤติการหลอกลวง
“15ภายนอกเป็นที่ของพวกสุนัข พวกใช้เวทมนตร์ พวกล่วงประเวณี พวกฆาตกร พวกบูชารูปเคารพ และพวกที่รักและประพฤติการหลอกลวงทุกคน
(3) “พูดแต่ความจริง”ปกป้องตนเองจากมารซาตาน
ข้อ 37
“37จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากความชั่ว”
ถ้าจะแปลให้ตรงกับความหมายภาษากรีก ต้องแปลว่า
“37จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากมารซาตาน”
พูดในสิ่งที่เรารับผิดชอบได้ ที่เราสามารถทำตามที่เราพูดได้ครับ เพื่อที่ คำพูดของเราจะมีน้ำหนัก เพราะชีวิตของเรา สำหรับผู้เชื่อแล้ว เมื่อเราพูดสิ่งใด สามารถมั่นใจได้ว่า เราจะทำสิ่งนั้นตามคำพูดของเรา เป็นคนที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่ เป็นคนประเภทที่ว่า พูดอะไรให้หารสองไว้ อย่าให้ชีวิตของเราเป็นแบบนั้นเลยนะครับ
โยบเป็นผู้เชื่ออีกคน ที่เป็นแบบอย่างในพระคัมภีร์เกี่ยวกับ ความสัตย์ซื่อต่อคำพูด โดยการพูดแต่ความจริง
โยบ 27:3-4 “3ลมหายใจยังอยู่ในตัวข้าตราบใด และลมปราณจากพระเจ้ายังอยู่ในจมูกข้าตราบใด 4ริมฝีปากข้าจะไม่พูดความเท็จ และลิ้นข้าจะไม่เปล่งคำหลอกลวง”
มารซาตาน ไม่พอใจครับ เมื่อเราพูดความจริง เพราะพระเยซูบอกว่า มันเป็นบิดาของการมุสา คำโกหก ในขณะที่พระเจ้าพระบิดาของเรา คือ บิดาของความจริงครับ
พี่น้องครับเมื่อไรก็ตามที่เราพูดโกหก ความเท็จ เรากำลังทำให้สิ่งที่มารซาตานพอใจครับ
เมื่อเราพูดโกหก คำหลอกลวง เรากำลังตกเป็นเครื่องมือของมารซาตาน มีเหตุผลมากมายครับ ที่เราต้องโกหก
เราโกหก เพื่อให้ตนเองพ้นจากความผิด เพื่อปกปิดความอับอาย
เราโกหก เพื่อให้เราดูดี การพูดให้ตนเองดูดี พูดเกินความจริง
เราโกหก เพื่อผลประโยชน์บางอย่างที่เราจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็น การขึ้นเงินเดือน ได้งานที่ดีกว่าเดิม หรือเพื่อหลบเลี่ยงภาษี
คนที่มักจะพูดสาบานอยู่บ่อยๆ แสดงว่า คำพูดของเขาอาจจะขาดความเชื่อถือ จึงต้องอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมายืนยันว่าตนเองพูดความจริง ในบริบทสังคมไทย เราเห็นตัวอย่างนี้นะครับ เวลาจับคนร้ายได้ คนร้ายทุกคน ต่างยืนยันว่าตนเองพูดความจริงครับ สาบานกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ออกสื่อ หลายปีที่แล้วเราเห็น นะครับ คดีว่าใครเป็นเจ้าของลอตเตอรรี่ที่ถูกรางวัลที่แท้จริง จนเราแทบจะไม่รู้แล้วว่า ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ
พระเยซูสอนผู้เชื่อให้ พูดแต่ความจริงครับ จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่
เพื่อที่ผู้เชื่อจะมีชีวิตที่แตกต่างจากคนที่ไม่มีพระเจ้าครับ ทุกคนที่พูดกับเรา จะมั่นใจได้ว่าเราพูดความจริง ชีวิตของเราจะมีน้ำหนัก พระเจ้าได้รับเกียรติครับ ผ่านผู้เชื่อแบบนี้ อาเมนนะครับ
โดยการพูดความจริง จะช่วยปกป้องชีวิตของเราจากมารซาตานครับ ให้เรา “คาดเข็มขัดแห่งความจริง” หนึ่งในยุทธภัณฑ์เพื่อต่อสู้กับมารครับ ในเอเฟซัส บทที่ 6
พี่น้องครับ ให้เราเป็นเหมือนกับโยบครับ ที่แม้แต่มารก็อิจฉา และต้องการล้มเขาลงให้ได้
โยบ 27:3-4 “3ลมหายใจยังอยู่ในตัวข้าตราบใด และลมปราณจากพระเจ้ายังอยู่ในจมูกข้าตราบใด 4ริมฝีปากข้าจะไม่พูดความเท็จ และลิ้นข้าจะไม่เปล่งคำหลอกลวง”
ให้เราร่วมใจกันอธิษฐานครับ
Sermon Outline:
ซีรีส์คำเทศนา ชีวิตที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
“ความสัตย์ซื่อต่อคำพูด”
มัทธิว 5:33-37
วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม 2022
บทนำ
& ชุดคำสอนของพระเยซู คำเทศนาบนภูเขา (มัทธิว 5-7) ที่เริ่มต้นด้วยประโยค “ท่านทั้งหลายได้ยินคำ...ส่วนเราบอกพวกท่านว่า...” หรือ “ยังมีคำกล่าวไว้ว่า...เราบอกท่านทั้งหลายว่า”
& สดุดี 15:1-4 ผู้เชื่อที่มีชีวิตนมัสการพระเจ้า พระเจ้าทรงมองหาผู้ที่นมัสการพระองค์ สัตย์ซื่อต่อคำพูดของตนเอง คือผู้เชื่อที่พูดความจริงจากใจของตน และ รักษาคำสัญญา รักษาคำปฏิญาณ รักษาคำสาบาน
I. _______________ ไม่มีส่วนในพฤติกรรมการหลอกลวงใดๆทั้งสิ้น
“33อีกประการหนึ่งท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนในสมัยก่อนว่า‘ห้ามเสียคำสัตย์สาบาน คำสัตย์สาบานที่ได้ถวายต่อองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ต้องรักษาไว้ให้มั่น’ 34ส่วนเราบอกพวกท่านว่า อย่าสาบานเลย...” (มัทธิว 5: 33-34ก)
II. _______________ ว่าพระเจ้าทรงพิพากษาทุกๆคำพูดของเรา
“34ส่วนเราบอกพวกท่านว่า อย่าสาบานเลย ไม่ว่าจะทำโดยอ้างถึงสวรรค์ เพราะสวรรค์เป็นที่ประทับของพระเจ้า 35หรืออ้างถึงแผ่นดินโลก เพราะแผ่นดินโลกเป็นที่รองพระบาทของพระเจ้า หรืออ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะกรุงเยรูซาเล็มเป็นราชธานีของพระมหากษัตริย์ 36อย่าสาบานโดยอ้างถึงศีรษะของตน เพราะท่านจะทำให้ผมขาว หรือดำไปสักเส้นหนึ่งก็ไม่ได้” (มัทธิว 5:34-36)
III. _______________ ปกป้องตนเองจากมารซาตาน
“37จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากมารซาตาน” (มัทธิว 5:37)
บทสรุป
& ดำเนินชีวิตเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ด้วยรักษาความสัตย์ซื่อต่อคำพูดของตนเอง
& มีชีวิตที่น่าเชื่อถือด้วยคำพูด ต่อคนทั้งปวง ไม่เป็นคนที่พูดจาหลอกลวง เชื่อถือไม่ได้
& พูดในสิ่งที่ตนเองรับผิดชอบได้
Related Media
See more
Related Sermons
See more