ละความวิตกกังวล

Notes
Transcript
Sermon Tone Analysis
A
D
F
J
S
Emotion
A
C
T
Language
O
C
E
A
E
Social
“ละความวิตกกังวล”
คริสตจักรไคร้สตเชิช กรุงเทพ/ แองลิกันลาดกระบัง
วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2022
มัทธิว 6: 19-34
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Word Count 4,655 ; Time 40 minutes
พระเจ้าสถิตกับท่าน [และสถิตกับท่านด้วย]
เมื่อเร็วๆนี้ มีจิตแพทย์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในประเทศไทย ท่านได้พูดเกี่ยวกับภาวะวิตกกังวลในไทย สถิติคนไทยที่กำลังวิตกกังวลเป็นตัวเลขที่หายากมาก แต่ท่านประมาณการ น่าจะมีคนไทยร้อยละ 20 กำลังมีปัญหาในเรื่องความวิตกกังวล หมายความว่า ถ้ามีคน 5 คนเดินมา จะมีหนึ่งคนกำลังวิตกกังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤตการโควิดในช่วงสองปีที่ผ่านมา ยิ่งทำให้คนไทยวิตกกังวลมากยิ่งขึ้นไปอีก
ภาวะวิตกกังวล แสดงออกมาในหลายลักษณะครับ คนที่มักจะคิดว่าสิ่งร้ายๆจะเกิดขึ้นกับตนเอง บางคนมักจะวิตกกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตนเอง เมื่อมีอาการทางร่างกายนิดหน่อย ก็มักจะคิดว่าตนเองเป็นโรคที่ร้ายแรง เป็นโรคนั้นโรคนี้ และมักจะคิดว่าตนเองมีร่างกายที่ไม่แข็งแรง ส่งผลให้ไม่สามารถมีความสุขกับการใช้ชีวิตประจำวันได้ ยิ่งจับจ้ำอยู่กันตัวเอง ไม่กล้าออกไปไหน ก็ยิ่งเพิ่มภาวะวิตกกังวลมากขึ้นไปอีก
คนที่วิตกกังวลบางคน มักจะคิดว่าทำอะไรไป ก็ไม่เคยดีพอ หรือกลัวจะทำอะไรผิด วิตกกังวลว่าหัวหน้างาน หรือ เพื่อนร่วมงานจะตำหนิ จะถูกต่อว่า และจะวิตกกังวลหรือ ประหม่ามาก ตื่นเต้นมาก ถ้าต้องนำเสนองาน พูดรายงานหน้าห้อง ต่อหน้าคนจำนวนมาก ยิ่งรู้สึกไม่ดีต่อตนเอง สูญเสียความเชื่อมั่น ยิ่งสูญเสียความเชื่อมั่น ก็ยิ่งวิตกกังวล
ความวิตกกังวลทำให้บางคนกลายเป็นคน ย้ำคิดย้ำทำ ยิ่งคิดซ้ำๆ ยิ่งเพิ่มความกังวล บางคนคิดซ้ำๆเรื่องเดียวกันสามครั้ง กลายเป็นคนที่คิดวน ความคิดวนเวียนติดอยู่กับเรื่องที่ตนวิตกกังวลอยู่ ออกมาไม่ได้
นอกจากความวิตกกังวลจะส่งผลต่อสุขภาพแล้ว ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตด้วยครับ จะกลายเป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจ เป็นคนผลัดวันประกันรุ่ง กลายเป็นคนที่มักจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ ทำให้ชีวิตจำกัด บางคนกลัวโควิดจนไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่กล้าไปไหนมาไหน ไม่กล้าเข้าสังคม
คนที่มีปัญญาคือ คนที่สามารถ “ละความวิตกกังวล” ให้เปลี่ยนเป็น “ความรอบคอบ” รู้จักจัดการกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
พระคัมภีร์ในวันนี้ พระเยซูคริสต์ตรัสสอนสาวกของพระองค์ให้ ละความวิตกกังวล พระเยซูสอนสาวกอย่างไรให้ละความวิตกกังวล แต่ก่อนที่เราจะรับพระคำพระเจ้า ให้เราร่วมใจกันอธิษฐานครับ
“พระเจ้าผู้ทรงพระคุณ โปรดประทานหัวใจที่ถ่อม ยินดีรับการสอน และใจที่เชื่อฟัง ในขณะที่ลูกรับการเปิดเผยและสำแดงจากพระคำของพระองค์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอทรงประทานกำลังที่ลูกจะสามารถกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยและสำแดง ให้เป็นจริงในชีวิตของลูก ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน”
ความวิตกกังวล อาจจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ หนึ่งในสาเหตุหลักของความวิตกกังวล คือ เกิดจาก “ความกลัว” เราวิตกกังวลเพราะเรา กลัวว่าสิ่งไม่ดีจะเกิดขึ้นกันตนเอง กลัวป่วยเป็นโรคร้าย กลัวจะติดโควิด นอกจากกลัวติดโควิดแล้ว บางคนก็กลัวไม่กล้าฉีดวัคซีน กลัวผลข้างเคียง ยิ่งเห็นข่าวก็ยิ่งกลัว
บางคนกลัวตกงาน กลัวเงินจะไม่พอใช้ กลัวลูกจะไม่มีค่าเทอม ค่าชุดนักเรียน กลัวจะไม่มีเงินพอจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำค่าไฟ ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ถ้าเป็นพ่อแม่ ก็กลัวลูกจะติดยาเสพติด กลัวลูกจะสอบเรียนต่อไม่ได้ กังวลเรื่องลูกไปสารพัด บางคนอาจกลัวความอับอาย บางคนกลัวความล้มเหลว กลัวความจริงจะเปิดเผย กลัวจะเสียหน้า
ความกลัวเหล่านี้ถ้าเกิดมากเกินจนเราควบคุมไม่ได้ เมื่อความรู้สึกกลัวมันท่วมท้นในความคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรายังไม่มีทางออก ยังไม่มีคำตอบให้กับความกลัวเหล่านี้ ในสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ อยู่นอกการควบคุมของเรา ทำให้เราเริ่ม “วิตกกังวล”
พี่น้องที่รักในพระคริสต์ครับ วันนี้ พี่น้องกำลัง กลัวว่าสิ่งไม่ดีอะไรที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราอยู่มั้ยครับ
ความกลัวเกิดขึ้นครั้งแรก และบันทึกในพระคัมภีร์ครั้งแรก ใน ปฐมกาล 3 เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป คือ ปฏิเสธพระเจ้า ต้องการดำเนินชีวิตตามทางของตนเอง ไม่ให้พระเจ้าเป็นองค์จอมเจ้านายในชีวิต ความกลัวเกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อมนุษย์เอาพระเจ้าออกจากชีวิต และต้องการนำชีวิตตนเอง และพบว่าตนเองนั้นเปลือยกายอยู่ พระสิริของพระเจ้าพรากไปจากชีวิตของเขาแล้ว
ปฐมกาล 3: 10 “10ชายนั้นทูลว่า “ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ในสวนก็กลัว เพราะข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ จึงได้ซ่อนตัวเสีย”
พี่น้องครับ พระเจ้าตรัสกับลูกของพระองค์เสมอในพระคัมภีร์ว่า “อย่ากลัวเลย” ตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เพราะพระเจ้าทรงห่วยใยเรา และปรารถนาที่ให้ลูกของพระองค์ไม่ต้องดำเนินชีวิต ถูกครอบงำอยู่ภายใต้ความกลัว ที่เป็นสาเหตุหลักของความวิตกกังวล
คำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู ในพระคัมภีร์ตอนนี้ พระองค์ทรงสอนเราสามสิ่ง ครับ เพื่อที่เราจะสามารถ “ละความวิตกกังวล” ได้
(1) “จดจ่อ” อยู่ที่แผ่นดินพระเจ้า (ข้อ 31-33)
“31เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายและกล่าวว่าจะเอาอะไรกิน? หรือจะเอาอะไรดื่ม? หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม? 32เพราะว่าบรรดาคนต่างชาติแสวงหาสิ่งทั้งปวงนี้ แต่ว่าพระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการสิ่งทั้งปวงนี้ 33แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้”
พระเยซูสอนเราว่า มีคนมีอยู่สองประเภทครับ คนกลุ่มที่หนึ่งคือ คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า และไม่สนใจแผ่นดินของพระเจ้าด้วย พระเยซูทรงเรียกคนกลุ่มนี้ในข้อ 32 ว่า “บรรดาคนต่างชาติ” คนกลุ่มที่สองคือ ผู้เชื่อ สาวกที่ติดตามพระเยซู สาวกที่กำลังฟังคำสอนของพระองค์อยู่ในเวลานี้ พระเยซูเรียกเขาเหล่านี้ว่า “ท่าน” หรือ “ท่านทั้งหลาย”
“บรรดาคนต่างชาติ” จะวิตกกังวล กระวนกระวาย จะเอาอะไรกิน? หรือจะเอาอะไรดื่ม? หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม? เพราะจิตใจของเขาไม่ได้จดจ่ออยู่ที่แผ่นดินของพระเจ้า หรือ อาณาจักรพระเจ้า
คำว่า แผ่นดินของพระเจ้า อาณาจักรพระเจ้า แผ่นดินสวรรค์ เป็นคำที่มีความหมายเดียวกัน หมายถึงสถานที่ที่พระเจ้าทรงครอบครอง ที่ๆพระเจ้าผู้ทรงเป็นกษัตริย์ทรงครอบครองและปกครองอยู่
สำหรับยิวที่เคร่งครัดในธรรมบัญญัติ จะหลีกเลี่ยงพูดคำว่า “พระเจ้า” และใช้คำว่า “สวรรค์” แทน ดังนั้นสำหรับเราที่เป็นคนไทย เมื่อเราได้ยินคำว่า สวรรค์ เรามักจะนึกถึง สถานที่หลังความตาย
ความจริงแล้ว แผ่นดินพระเจ้า แผ่นดินสวรรค์อยู่ในตัวเราแล้วครับที่เป็นผู้เชื่อ ในชีวิตของผู้เชื่อ ที่พระเจ้าทรงครอบครอง ปกครองอยู่ในชีวิตของเรา แม้ในขณะนี้ที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา และทรงครอบครอง และ ปกครองอยู่ในชีวิตของเรา เมื่อเรายอมลงจากบังลังก์ใจ และให้พระเยซูคริสต์ทรงประทับอยู่บนบันลังก์ใจเรา แผ่นดินสวรรค์ อาณาจักรพระเจ้า แผ่นดินพระเจ้าก็อยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องรอหลังความตาย
แน่นอนครับ พระคัมภีร์ได้บอกกับเราครับ ในการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ พระองค์จะมาสถาปนาอาณาจักรนิรันดร์ และเราในฐานะผู้เชื่อจะมีส่วนปกครองโลกนี้ร่วมกันพระองค์ ด้วยครับ อาณาจักรพระเจ้าที่มาแล้ว จะมาอย่างครบบริบูรณ์
แผ่นดินพระเจ้า เป็นตัวแทนของ ความเป็นนิรันดร์ ในขณะที่ แผ่นดินที่ไม่ยอมรับการปกครองของพระเจ้า ก็เป็นของชั่วคราว รอความพินาศ ดังนั้นในข้อ 25
“เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่าจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารไม่ใช่หรือ?
ข้อ 25 พระเยซูเริ่มต้นด้วยคำว่า “เพราะเหตุนี้” หมายความว่า พระองค์กำลังอ้างอิงถึงสิ่งที่พระองค์ตรัสสอนก่อนหน้านี้ ซึ่งก็คือตั้งแต่ข้อ 19-24 ซึ่งเป็นชุดคำสอนเดียวกัน พระเยซูทรงสอนให้สาวกของพระองค์สะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แทนที่จะมุ่งเพียงสะสมทรัพย์สมบัติบนโลกนี้
“19“อย่าสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวพวกท่านเองไว้ในโลก ที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสียได้ และที่ขโมยอาจทะลวงลักเอาไปได้ 20แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติเพื่อตัวพวกท่านเองไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยทะลวงลักเอาไปได้ 21เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย”
แล้วพระองค์ตรัสสอนต่อว่า การมุ่งแต่เพียงสะสมทรัพย์สมบัติในโลกนี้ ทำให้เราตาบอดฝ่ายวิญญาณ และทรัพย์สมบัติเหล่านั้นจะกลายมาเป็น นายของเรา แทนที่พระเจ้า ในข้อ 22-24
22“ตาเป็นประทีปของร่างกาย เพราะฉะนั้นถ้าตาของท่านปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยสว่างไปด้วย 23แต่ถ้าตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย เพราะฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวท่านมืดไป ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใดหนอ”
24“ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนายได้ เพราะว่าเขาจะชังนายข้างหนึ่ง และรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือเขาจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้”
ทั้งหมดที่พระเยซูสอน ตั้งแต่ข้อ 19-24 แล้วมาสรุปว่า “เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่าจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารไม่ใช่หรือ?
พระเยซูกำลังสอนสาวกว่า ชีวิตที่ไม่มีพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในแผ่นดินพระเจ้า กลายเป็นเรื่องชั่วคราว สิ่งที่คนเหล่านั้นตะเกียกตะกายแสวงหา สะสม และวุ่นวายใจ เพื่อให้ได้มา จะนำมาแต่ ความวิตกกังวล เป็นความวิตกกังวลในสิ่งภายนอก เพราะเขาไม่มีพระเจ้าอยู่ภายใน เพราะแผ่นดินพระเจ้าไม่ได้อยู่ในชีวิตของเขา
ปัญหาของเราในฐานะของผู้เชื่อ คือ เราแยกไม่ออก เรามองไม่เห็น ความจริง ระหว่าง แก่นแท้ของชีวิตคือ แผ่นดินของพระเจ้า กับ สิ่งของชั่วคราวในโลกนี้ เราแยกไม่ออก อะไรคือของจริง อะไรคือของปลอม แล้วเราก็ผสมปนเปเข้าด้วยกัน
มัทธิว 13: 22
“22และเมล็ดซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แต่ความกังวลของโลก และการล่อลวงของทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล”
เมื่อผู้เชื่อไม่สามารถแยกแยะได้ ระหว่าง แผ่นดินพระเจ้า กับ แผ่นดินที่ไม่ให้พระเจ้าครอบครอง ก็จะง่ายมากที่ความวิตกกังวลของโลกจะเข้ามาครอบงำความคิดและจิตใจของผู้เชื่อ ทำให้เรากลัว ไม่กล้าที่จะทำตามพระวจนะคำของพระเจ้า ส่งผลให้ชีวิตของเราไม่เกิดผล ไม่ได้รับพระพรอย่างแท้จริง
พระเยซูสอนสาวกของพระองค์ว่า ให้จิตใจของเรา จดจ่อ อยู่ที่แผ่นดินของพระเจ้า ซึ่งเป็นของนิรันดร์ ไม่ใช่ของชั่วคราว สิ่งที่น่าเศร้าคือ ผู้เชื่อ ไม่เข้าใจ และจิตใจของเขา ยังคงจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เป็นเพียงของชั่วคราว
ผู้เชื่อไม่ได้ดำเนินชีวิตจริงๆในแผ่นดินของพระเจ้า เพราะพวกเขาสนใจแต่ความต้องการของตัวเอง คิดถึงแต่ความต้องการของตนเองเป็นสำคัญ สะสมทรัพย์สมบัติ เพียงเพื่อต้องการตอบสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น
มัทธิว 19 :21 พระเยซูตรัสกับนักปกครองหนุ่ม ที่มั่งคั่งมีทรัพย์สมบัติมากมาย มาระโกบทที่ 10 บอกว่าชายคนนี้วิ่งเข้ามาคุกเข่า ถามพระเยซูว่าทำอย่างไรจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์
“21พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ถ้าท่านต้องการจะเป็นคนดีพร้อม จงไปขายทรัพย์สิ่งของที่ท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ และจงตามเรามา”
พี่น้องที่รักครับ อีกภาพหนึ่งของแผ่นดินของพระเจ้า นอกจากภาพแรกคือ การครอบครองของพระเจ้าในชีวิตแล้ว คือ การดำเนินชีวิตอยู่กับพระเจ้าในชีวิตของเรา รักพระเจ้า และ รักคนอื่นๆ ดังนั้น พระเยซูสอนว่าให้สั่งสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์ ที่เป็นสิ่งนิรันดร์ หมายถึง การที่จิตใจของเราไม่ได้จดจ่ออยู่เพียงแค่ความต้องการของตนเอง แต่ให้รู้จักแบ่งปันทรัพย์สินเงินทอง เพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนอื่นๆ การแบ่งปันและรักเพื่อนบ้าน ทำสิ่งดีเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่อยู่เพื่อตัวเองเท่านั้น
พระเยซูสอนเราให้เห็นความแตกต่าง และเปรียบเทียบ คนสองกลุ่ม อย่างที่ผมพูดไว้ตอนต้น ครับ
พระเยซูสอนเราว่า มีคนมีอยู่สองประเภทครับ คนกลุ่มที่หนึ่งคือ คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า และไม่สนใจแผ่นดินของพระเจ้าด้วย พระเยซูทรงเรียกคนกลุ่มนี้ในข้อ 32 ว่า “บรรดาคนต่างชาติ” คนกลุ่มที่สองคือ ผู้เชื่อ สาวกที่ติดตามพระเยซู สาวกที่กำลังฟังคำสอนของพระองค์อยู่ในเวลานี้ พระเยซูเรียกเขาเหล่านี้ว่า “ท่าน” หรือ “ท่านทั้งหลาย”
“บรรดาคนต่างชาติ” จะวิตกกังวล กระวนกระวาย จะเอาอะไรกิน? หรือจะเอาอะไรดื่ม? หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม? เพราะจิตใจของเขาไม่ได้จดจ่ออยู่ที่แผ่นดินของพระเจ้า หรือ อาณาจักรพระเจ้า
ระหว่าง ผู้เชื่อที่อยู่ในแผ่นดินพระเจ้า กับ บรรดาคนต่างชาติ คือ คนที่ปฏิเสธแผ่นดินพระเจ้า ปฏิเสธพระเจ้า
ระหว่าง ผู้เชื่อที่มีพระเจ้าเป็นองค์จอมเจ้านาย กับ คนที่ปฏิเสธแผ่นดินพระเจ้า คือ มีทรัพย์สินเงินทองเป็นเจ้านาย
ระหว่าง ผู้เชื่อที่สะสมทรัพย์สมบัติในแผ่นดินสวรรค์ รู้จักการแบ่งปันช่วยเหลือ กับ คนที่สะสมทรัพย์สมบัติบนโลกนี้เพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง ซึ่งเป็นเพียงของชั่วคราว มาแล้วก็ไป ขโมยมาปล้นไปได้ แมลงกินเสียได้
ระหว่าง ชีวิตนิรันดร์ ในแผ่นดินพระเจ้า กับ ชีวิตที่มุ่งหน้าสู่ความตาย ความพินาศ จดจ่ออยู่แต่เพียงสิ่งของชั่วคราวบนโลก
ระหว่าง สันติสุขในใจ กับ ความวิตกกังวล ถึงสิ่งของชั่วคราวบนโลก
ระหว่าง ผู้เชื่อที่ดำเนินชีวิตโดยมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง ทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า กับ ผู้เชื่อที่มีตัวเองเป็นศูนย์กลาง ทำตามใจตนเอง ไม่สนใจน้ำพระทัยพระเจ้า
ดังนั้น สำหรับพระเยซูแล้ว การที่เรามีใจจดจ่อ อยู่ที่แผ่นดินพระเจ้า จะทำให้เราไม่ไปจดจ่ออยู่เพียง ความต้องการของตนเอง มองแต่ตนเองหรือครอบครัวของตนเอง จนลืมความต้องการของผู้อื่น รักแต่ตัวเอง จนหลงลืมความรักเพื่อนบ้าน เมื่อเรามองแต่ตนเอง จดจ่ออยู่กับตัวเองเท่านั้น แน่นอน ก็จะง่ายมากที่ความ วิตกกังวล แบบโลก แบบคนต่างชาติจะเข้ามาครอบงำความคิดของเราได้ง่าย
ตัวอย่าง บุคคลคนหนึ่ง ที่จดจ่ออยู่กับแต่ตัวเอง หลงลืมพระเจ้า ไม่สนใจแผ่นดินพระเจ้าคือ กษัตริย์ซาอูล ครับ กษัตริย์ซาอูลละทิ้งพระเจ้า ต้องการเพียงแค่รักษาสถานะของตนเองในฐานะกษัตริย์ ให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางและปฏิเสธพระเจ้า ท่านจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งชั่วคราว ไม่ใช่ แผ่นดินพระเจ้า ให้ความต้องการของตนเองอยู่เหนือน้ำพระทัยพระเจ้า คิดถึงแต่ตนเอง ในบั่นปลายชีวิตของท่าน ทั้งซามูเอลและพระเจ้าก็ละทิ้งท่านไป พระคัมภีร์บันทึกครับ ใน
1ซามูเอล 28:5 “5เมื่อซาอูลทอดพระเนตรกองทัพของพวกฟีลิสเตียก็ทรงกลัว และพระทัยของพระองค์ก็หวั่นไหวมาก 6และเมื่อซาอูลทูลถามพระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ไม่ได้ทรงตอบพระองค์ ไม่ว่าด้วยความฝัน หรือด้วยอูริม หรือด้วยผู้เผยพระวจนะ”
กษัตรย์ซาอูลคงกินไม่ได้นอนไม่หลับ วิตกกังวลอย่างมาก พระคัมภีร์บันทึกว่า ท่านกลัว และ จิตใจของท่านก็หวั่นไหวมาก ความวิตกกังวล วิ่งกลับมาหาพระเจ้า เห็นพระเจ้าเป็นเพียงอุปกรณ์ที่ตอบสนองความตเองการของตนเอง แต่พระเจ้าเงียบครับ ไม่ตอบท่านอีกแล้ว กษัตริย์ซาอูลก็ไปหาหญิงคนทรงที่บ้านเอนโดร์ น่าเสียดายมาก
พี่น้องครับ จึงไม่แปลกใจว่าทำไม ธุรกิจหมอดู ร่างทรง โหราศาสตร์ เลขมงคล เป็นธุรกิจที่มีเงินหมุนเวียนมากลำดับต้นๆในประเทศไทย นี่ไม่นับรวม ธุรกิจการพนันที่ผิดกฎหมาย ทั้งบ่อนจริงๆ และ บ่อนออนไลน์
เพราะจิตใจคนเรา จดจ่ออยู่แต่เพียง สิ่งชั่วคราว จดจ่ออยู่เพียงความต้องการของตนเอง ทำอย่างไรก็ได้ให้ฉันพ้นจากความยากจน พ้นจากความลำบาก ฉัน ฉัน ฉัน และก็ฉัน
ในฐานะที่เราเป็นผู้เชื่อ ประชากรของพระเจ้า อยู่ในแผ่นดินพระเจ้า เราปฎิเสธสิ่งเหล่านี้ครับ
พี่น้องครับเมื่อใจเราจดจ่อ อยู่ที่แผ่นดินพระเจ้า ไม่ได้มัวไปจดจ่ออยู่ที่ความต้องการตนเอง เราจะสามารถละความวิตกกังวลแบบโลกนี้ได้ครับ และไม่แสวงหาสิ่งที่ไม่ชอบธรรม เหมือนอย่างกษัตริย์ซาอูลครับ
33แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้”
เริ่มต้นให้ถูกต้องก่อนนะครับ จัดลำดับความสำคัญในชีวิตให้ถูกต้องก่อนครับ เริ่มต้นที่ ใจของเรา จดจ่อ อยู่ที่แผ่นดินพระเจ้า
(2) วางใจในการ “จัดเตรียม” ด้วยความห่วงใยจากพระเจ้า
พบในข้อ 33 ที่ผมพึ่งอ่านไปนะครับ และ ข้อ 26, 28-29
“26จงดูนกทั้งหลายบนฟ้า พวกมันไม่ได้หว่าน ไม่ได้เกี่ยว ไม่ได้รวบรวมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของพวกท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงพวกมันไว้ ท่านไม่ประเสริฐกว่าพวกมันหรือ?
28ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม? จงพิจารณาดูว่าดอกไม้ในทุ่งนานั้นเติบโตขึ้นอย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย 29แต่เราบอกพวกท่านว่า แม้แต่กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงบริบูรณ์ด้วยศักดิ์ศรี ก็ไม่ได้แต่งพระองค์งามเท่าดอกไม้เหล่านี้สักดอกหนึ่ง”
พี่น้องครับ เมื่อเราอยู่ในแผ่นดินพระเจ้า มีพระเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ครอบครองแผ่นดินของพระองค์ ภาระความรับผิดชอบอย่างหนึ่งของกษัตริย์นอกจากปกป้องคุ้มครองประชากรของพระองค์แล้ว ยังต้องจัดเตรียมความต้องการพื้นฐานให้กับประชากรของพระองค์ด้วยครับ
พระเจ้า ทรงจัดเตรียม ให้กับเรา ด้วยความห่วงใย ด้วยความรัก ด้วยนะครับ ไม่ใช่เป็นเพียงหน้าที่ ที่ต้องทำ
พระเยซูทรงยกตัวอย่าง สองตัวอย่างในพระคัมภีร์ตอนนี้ คือ นก และดอกไม้ในทุ่งนา พี่น้องจินตนาการนะครับ ว่าคำเทศนาบนภูเขาที่พระเยซูตรัสสอนอยู่นี้ ฉากด้านหลังคือ เนินเขาใกล้ๆกับทะเลสาบกาลิลี ผมเชื่อว่าในขณะที่พระองค์ตรัสสอนอยู่นั้น ข้างๆพระองค์ที่เป็นเนินเขา คงต้องมีดอกไม้อยู่อย่างกระจัดกระจาย อาจจะมีนกบินลงมาจิกกินแมลง หาอาหารตามเนินเขา พระเยซูยกตัวอย่างใน สิ่งที่สาวกที่ฟังอยู่ เห็นได้เลยอย่างชัดเจน ไม่ต้องจินตนาการ
พี่น้องครับ การจัดเตรียมจากพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องลงมือทำอะไร อยู่เฉยๆนะครับ
ความจริงแล้ว บรรดานกทั้งหลาย ทำงานหนักมากนะครับ บินออกจากรังตั้งแต่เช้ามืด กลับรังพักผ่อนตอนตะวันตกดิน ทำงานทั้งวัน เช้ามืดมันก็บินออกไปหาอาหาร ที่ระเบียงบ้านผม จะมีนกตัวเล็ก ปากแหลมๆ สวยมากครับ เขาเรียกว่า นกกินปลี-อกเหลือง ขยันมาก บินมาทำรัง คาบเศษหญ้า เศษด้าย ทำรังได้ทั้งวัน
แม้มันทำงานทั้งวัน แต่เราไม่เคยเห็นนก มันกินยาซาแนก เพื่อลดความเครียด หรือต้องกินยานอนหลับครับ มันออกมาจากรัง มันก็พบกับอาหาร จัดเตรียมรังของมันด้วยวัสดุทุกอย่างที่มันหาได้ ผมเจอแม้กระทั่งเศษของเชือกฟางเลยครับตอนมันทำรัง พระเจ้าจัดเตรียมให้มันครับ
อาจารย์เปาโลได้เตือนพี่น้องที่เธสะโลนิกาครับ 2เธสะโลนิกา 3:10 พี่น้องที่ไม่ยอมทำงาน เป็นภาระให้พี่น้องคนอื่นๆในชุมชนว่า “คนที่ไม่ยอมทำงาน ก็อย่าให้เขากิน”
ผมหนุนใจ “ให้พี่น้องทุกคนทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง เพื่อที่จะไม่เป็นภาระให้คนอื่น และเพื่อที่จะมีเพียงพอที่จะช่วยเหลือพี่น้องที่ขัดสนได้”
พี่น้องที่รักครับ น้ำพระทัยพระเจ้า สำหรับ ผู้เชื่อที่อยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าคือ พระเจ้า จะ จัดเตรียม ให้ครับ ด้วยความรัก ความห่วงใย
1 เปโตร 5:7 “7จงละความกังวลทุกอย่างของพวกท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย”
ตัวอย่างในพระคัมภีร์ที่ นางรูธ ครับ นางรูธหญิงม่ายชาวโมอับ ติดตามแม่สามี นางนาโอมี ที่ก็เป็นหญิงม่าย สามี และ ลูกชายทั้งสองคนตายหมด กลับมาที่เบธเลเฮม เราเห็นนะครับ ในขณะที่นาโอมี ขมขื่นใจ วิตกกังวลในอนาคต แต่นางรูธ ผู้ที่เลือกที่จะรักภักดีต่อพระยาห์เวห์ ยอมทิ้งบ้านเกิดของตัวเอง ติดตามนาโอมีกลับมาที่เบธเลเฮม พระเจ้าทรงทำงานในชีวิตของเธอครับ ให้เธอมีความเชื่อ เธอบอกกับแม่สามีว่า พระเจ้าของแม่ จะเป็นพระเจ้าของเธอด้วย เธอเลือกที่จะ จดจ่อ อยู่ใน แผ่นดินของพระเจ้า พระยาห์เวห์
การจัดเตรียม ด้วยความห่วงใยของพระเจ้า มาถึงในชีวิต ของนางรูธและนาโอมี ผ่านการที่เธอลุกขึ้นทำในสิ่งที่เธอพอจะทำได้ ไม่อยู่เฉยๆที่บ้านครับ เธอ ออกไปเก็บข้าวที่ร่วงในทุ่งนาในขณะที่คนงานกำลังเก็บเกี่ยวข้าว พระเจ้าทรง จัดเตรียม ด้วยความห่วงใย ด้วยความรักเมตตาผ่าน โบอาส และในที่สุด การช่วยกู้ก็สำเร็จ ผ่านโบอาส ผู้ที่เป็นโกเอล ญาติสนิทที่ช่วยกู้ในชีวิตของหญิงม่ายสองคนนี้ นางรูธไม่ต้องวิตกกังวลใดๆครับ
สองประการนะครับ ละความวิตกกังวล ที่พระเยซูสอนสาวก เริ่มต้นก่อนที่ท่าทีในจิตใจของเราครับ เมื่อจิตใจ ความคิดเรา “จดจ่อ” ในสิ่งที่สำคัญก่อน คือ จดจ่อ อยู่ที่แผ่นดินพระเจ้า ให้พระเจ้าครอบครองชีวิตของเรา รักพระเจ้า รักเพื่อนบ้าน คิดถึงผู้อื่น แบ่งปันให้กับผู้อื่น ทำดีต่อผู้อื่นด้วยความรักจากพระเจ้า
ประการที่สอง วางใจในการ “จัดเตรียม” ด้วยความห่วงใยจากพระเจ้า ลงมือทำในสิ่งที่เราทำได้ ที่เหลือฝากไว้กับพระเจ้า
(3) “จดจำ” พระสัญญาในคำอธิษฐาน
ข้อ 33 33แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้”
ข้อ 33 นี้ นอกจากจะเป็นการจัดเตรียมจากพระเจ้าแล้ว ยังเป็น พระสัญญา จากพระเจ้า ต่อผู้เชื่อด้วยนะครับ
พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ จะทรงรักษาสัญญา จะทรง จดจำ พระสัญญาของพระองค์ ครับ ปัญหาที่สำคัญคือ เรามักจะหลงลืมพระสัญญาครับ เวลาที่เราวิตกกังวล ให้เราเตือนตัวเราเองครับ จดจำพระสัญญานี้ในคำภาวนาของเรา ให้เราท่องจำ ภาวนา พระสัญญาพระเจ้าครับ
33แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้”
เราสามารถละความวิตกกังวลได้ เมื่อเราเข้ามาร้องทูลต่อพระเจ้า เข้ามาอธิษฐานตามพระสัญญา เพื่อรับสันติสุขในหัวใจเรา
ฟีลิปปี 4: 6-7
“6อย่ากระวนกระวายในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบทุกสิ่งที่พวกท่านขอ โดยการอธิษฐานและการวิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7แล้วสันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์”
การอธิษฐานไม่ใช่ตัวเลือกสุดท้าย ในการละความวิตกกังวล การอธิษฐานต้องเป็นสิ่งแรกที่เราทำครับ เมื่อเราเผชิญกับปัญหา กับความกลัว เพื่อสันติสุขจากพระเจ้าจะคุ้มครอง ครอบครองจิตใจ เราแทนที่ จะถูกครอบงำด้วย ความวิตกกังวล
กษัตริย์ดาวิด เป็นตัวอย่างที่ดีมากครับ ที่ท่านไม่หลงลืมพระสัญญาพระเจ้า แม้ชีวิตของท่านจะต้องพบกับจุดตกต่ำในชีวิตเพียงไรก็ตาม อย่างน้อยสองครั้งในชีวิตของท่าน เมื่อท่านต้องหลบหนีการไล่ล่าเอาชีวิตจากกษัตริย์ซาอูล ต้องหลบไปอยู่ในถิ่นทุรกันดาร อยู่หลายปี ต้องแกล้งเป็นบ้า เสียสติหนีไปอยู่ในฟิลิสเตีย ศัตรูของอิสราเอล และอีกครั้งที่ท่านต้องหนี การไล่ล่าเอาชีวิตจากลูกชายแท้ๆของท่านที่ก่อกบฏ อับซาโลม
กษัตริย์ดาวิดในบั้นปลายชีวิตของท่าน ท่านยืนยันในพระสัญญาพระเจ้า ความสัตย์ซื่อของพระยาห์เวห์ในการดูแล จัดเตรียมในชีวิตของท่านใน ท่านสอนคนรุ่นหลังจากท่านใน
สดุดี 37:25-26
“25ข้าพเจ้าเคยหนุ่ม และเดี๋ยวนี้แก่แล้ว แต่ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นคนชอบธรรมถูกทอดทิ้ง
หรือเห็นพงศ์พันธุ์ของเขาขอทาน 26เขาใจกว้างและให้ยืมเสมอ และพงศ์พันธุ์ของเขาก็เป็นพระพร”
อาเมนนะครับ พี่น้องครับ
พระเจ้าที่เรานมัสการ รับใช้ เป็นพระเจ้าที่สัตย์ซื่อและรักษาสัญญาครับ
ให้เรามั่นใจได้ในพระสัญญาของพระองค์
เราละความวิตกกังวลได้ครับ ไม่ให้ความวิตกกังวลเข้ามาครอบงำความคิดจิตใจของเรา เมื่อเรา จดจ่อในแผ่นดินของพระเจ้า วางใจในการ จัดเตรียม ด้วยความห่วงใยจากพระเจ้า และ จดจำ พระสัญญาของพระองค์ในคำอธิษฐานภาวนาของเรา เมื่อยามที่เรา ต้องเผชิญกับ ปัญหาและ ความวิตกกังวล เพื่อที่เราจะสามารถละความวิตกกังวล และมีชีวิตที่เป็นพระพร เป็นชีวิตที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน
