“ประทานพันธสัญญา”

Notes
Transcript
Sermon Tone Analysis
A
D
F
J
S
Emotion
A
C
T
Language
O
C
E
A
E
Social
“ประทานพันธสัญญา”
คริสตจักรไคร้สตเชิช กรุงเทพ/ แองลิกันลาดกระบัง
วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2022
ปฐมกาล 15: 1-12, 17-18
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Word Count 4,655 ; Time 40 minutes
พระเจ้าสถิตกับท่าน [และสถิตกับท่านด้วย]
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสเข้าไปร่วมพิธีไว้อาลัยของคุณแตงโมทางออนไลน์ เป็นพิธีไว้อาลัยคุณแตงโมที่จัดได้อย่างงดงาม มีใครได้มีโอกาสเข้าร่วมพิธีไว้อาลัยบ้างครับ หรือย้อนหลังผ่านทางออนไลน์ (ยกมือขึ้น) เรารู้สึกอย่างไรบ้างครับ พี่น้องประทับใจอะไรบ้างครับในพิธีไว้อาลัย สำหรับผมแล้ว
งานพิธีไว้อาลัยคุณแตงโม ผมสัมผัสได้ถึงความรักของเพื่อนๆ พี่ๆของคุณแตงโม ทั้งที่เป็นผู้เชื่อ และ ไม่ได้เป็นผู้เชื่อต่างร่วมกันจัดงานให้อย่างดีที่สุด เป็นครั้งสุดท้ายให้ มีคำที่อาจารย์ผู้เทศนาได้แบ่งปันที่ผมประทับใจ จากพระกิตติคุณยอห์น “รักจนถึงที่สุด” เตรียมงานดีที่สุด ไม่เสร็จไม่เลิก เพื่อให้กับคุณแตงโม สะท้อนความรักของพระเจ้าใน พระธรรมยอห์น บทที่13 ตอนหนึ่งที่ว่า “…พระองค์ทรงรักเขาทั้งหลายจนถึงที่สุด” ผมเข้าใจว่ามีบทเพลงของ Crossover Music ศิลปินเขียนจากแรงบรรดาลจากจากพระคัมภีร์ตอนนี้ ชื่อเพลง “รักจนถึงที่สุด” พระเยซูทรงรักเราจนถึงที่สุด ถ่อมพระองค์ล้างเท้าสาวก และ ยอมทนทุกข์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน “รักแม้ต้องยอมหยุด...หายใจ” ความรักแบบนี้ครับที่เราซาบซึ้งในช่วงเทศกาลมหาพรต 40 วัน เตรียมจิตใจเราก่อนเข้าสู่วันศุกร์ประเสริฐ และวันอาทิตย์อีสเตอร์อย่างมีความหมาย
นอกจากความรักที่เราสัมผัสได้แล้ว ผมยังเห็นชีวิตของคุณแตงโมในอีกมุมหนึ่งคือ เธอเป็นผู้หญิงที่มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างมาก แม้ว่าจะต้องผ่านวิกฤติในชีวิตหลายต่อหลายครั้ง เธอก็ยังคงยึดพระเจ้าไว้แน่น และพระเจ้าพระองค์นี้ที่เธอมีความเชื่อศรัทธา เป็นพระเจ้าพระองค์เดียวกันที่กำลังทำงานอยู่ในชีวิตของเราด้วยครับ
ความเชื่อ เป็นเหมือนกับสมอเรือที่ทำจากเหล็กที่มีน้ำหนักมาก จนทำให้เรือลำใหญ่โตสามารถจอดนิ่งได้บนน้ำทะเล ความเชื่อ ที่ทำให้เราในฐานะผู้เชื่อสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยความหวัง แม้ต้องเผชิญกับอุปสรรคปัญหาในชีวิต ซึ่งเป็นธรรมดาของโลกที่แปดเปื้อนไปด้วยผลของความบาป บาปที่เป็นมลทิน
“ความเชื่อตามพระสัญญา เท่านั้น ทำให้เรามีความหวัง” ครับ พี่น้อง
สำหรับพิธีไว้อาลัยของคริสตชน ความเชื่อตามพระสัญญาคือ ความตายไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ที่เราไม่รู้ว่าเราจะไปไหน หรือชีวิตของเราจะดับสูญ แต่เราในฐานะผู้เชื่อ ได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว ดังนั้นชีวิตหลังความตายคือ ได้รับการต้อนรับสู่อ้อมกอดนิรันดร์ในพระเจ้า บ้านนิรันดร์ สถานที่ๆพระเยซูเสด็จไปและสัญญากับผู้เชื่อว่า พระองค์ทรงเตรียมบ้านให้กับเราผู้เชื่อในเมืองบรมสุขเกษม และจะพบกันอีกครั้ง อย่างแน่นอน ดังนั้น เราในฐานะผู้เชื่อ คริสเตียน ความเชื่อจึงเป็นเหมือนกับ เสาหลัก สมอเรือในชีวิตของเรา ที่ทำให้เราเดินกับพระเจ้าอย่างมั่นคง
พระคัมภีร์เช้า / บ่ายวันนี้ เราจะได้มีโอกาสเข้ามาเรียนรู้เรื่องราวของ อับราฮัม ผู้ที่ได้รับฉายาว่า บิดาแห่งความเชื่อ ครับ ปฐมกาล บทที่ 15 เปิดเผยครับ ขนาด บิดาแห่งความเชื่อ ก็หนีไม่พ้น เหตุการณ์ สถานการณ์ที่ทำให้ความเชื่อของท่านต้องหวั่นไหว กลัว วิตกกังวล
บางคนอาจกำลัง วิตกกังวล และกลัว อยู่ในเวลานี้ เหมือนอย่างอับราฮัม ในพระคัมภีร์ในเช้า / บ่ายวันนี้ ก็ให้เราสามารถละความกลัว ความวิตกกังวลได้ และเพิ่มพูนความเชื่อ ความไว้วางใจพระเจ้ามากขึ้นในชีวิตของเรา
ปฐมกาล บทที่ 15 พระยาห์เวห์ ได้มาเยี่ยมเยียนอับราฮัม และทรงย้ำเตือนอับราม (ชื่อของอับราฮัมในเวลานั้น) ให้เขามั่นใจในพระสัญญาของพระองค์ ให้เข้ายังคงมั่นใจในการทรงเรียกจากพระเจ้าในชีวิตของท่านด้วยความเชื่อ ปฐมกาล 15 บันทึกถึงช่วงเวลาที่อับราฮัม บิดาแห่งความเชื่อ ขณะที่ความเชื่อของท่านกำลังหวั่นไหว
แต่ก่อนที่เราจะรับพระคำพระเจ้า ให้เราร่วมใจกันอธิษฐานครับ
“พระเจ้าผู้ทรงพระคุณ โปรดประทานหัวใจที่ถ่อม ยินดีรับการสอน และใจที่เชื่อฟัง ในขณะที่ลูกรับการเปิดเผยและสำแดงจากพระคำของพระองค์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอทรงประทานกำลังที่ลูกจะสามารถกระทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยและสำแดง ให้เป็นจริงในชีวิตของลูก ในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน”
พี่น้องที่รักในพระคริสต์ครับ เหตุการณ์ทั้งหมดใน ปฐมกาล 15 เกิดขึ้นในขณะที่อับราฮัมหวั่นไหวครับ เขาอาจจะกำลังสงสัย ในการทรงเรียกของพระเจ้า ในปฐมกาล 12 เราลองกลับไปที่ปฐมกาล 12 ข้อ 1-3 ครับ
“1พระยาห์เวห์ตรัสแก่อับรามว่า “เจ้าจงออกจากดินแดนของเจ้า จากญาติพี่น้องของเจ้า จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า 2เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรเจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โต แล้วเจ้าจะเป็นพร 3เราจะอวยพรคนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า”
อับราม เชื่อพระสัญญาตามการทรงเรียกในชีวิตของท่าน ท่านละทิ้งบ้านเกิดในเมืองเออร์ อยู่ในประเทศอิรักในปัจจุบันครับ ออกเดินทางเร่ร่อนมาเรื่อยกับภรรยาซาราย ที่เป็นหมัน ทั้งสองคนไม่มีลูก บทที่ 11 บอกไว้นะครับ ว่า “...ซารายเป็นหมัน ไม่มีบุตร” อับรามไม่ได้ออกมาตามลำพังครับ อับรามก็พา ครอบครัวของ โลท หลานชายของท่าน และบรรดาคนรับใช้ออกมาด้วย เมื่ออับรามอายุได้ 75 ปี ละทิ้งการกราบไหว้รูปเคารพในบ้านเกิดของท่าน ติดตามพระยาห์เวห์
พระสัญญาสามประการครับ ที่พระยาห์เวห์ทรงสัญญากับอับรามในปฐมกาล 12 คือ แผ่นดิน ชนชาติใหญ่ และ บรรดาประชาชาติจะได้รับพรเพราะอับราม
ผ่านมาแล้วหลายปี ไม่เกินสิบปีแน่นอน ปฐมกาล 12 อับรามอายุ 75 ปฐมกาล 17 อับรามมีอายุ 86 ปี ปฐมกาล 15 อับรามน่าจะมีอายุ 80 ปีกว่าๆ หรืออาจจะ 85 ปีก็ได้ เกิดอะไรขึ้นในช่วงเกินสิบปีหลังจาก อับรามเดินทางตามพระสัญญาพระเจ้า ตามการทรงเรียกพระเจ้า พระพรทั้งสามข้อก็ยังไม่เกิดขึ้นเลย
แผ่นดินไม่ต้องพูดถึง เขายังคงเร่ร่อนอยู่นอกเมือง ปักหลักอยู่ในดินแดนนอกเมืองโสโดม
ชนชาติใหญ่ ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย ซารายเป็นหมัน แถม โลท หลานชายที่อับรามพาออกมาด้วย หวังว่าจะเป็นทายาทของตนเองก็ละทิ้งท่าน แยกออกไปจากครัวเรือนของท่าน ในปฐมกาล บทที่ 13 โลทกับภรรยาเลือกที่อยู่ในเมืองโสโดม ปฐมกาล บทที่ 15 อับรามไม่เหลือใครแล้วครับ พี่น้อง ความหวังที่จะมอบมรดก ทั้งหมดให้
ปฐมกาล บทที่ 15 เริ่มต้น ด้วย พระยาห์เวห์มาเยี่ยมเยียนอับรามในนิมิต
“1ภายหลังสิ่งเหล่านี้พระดำรัสของพระยาห์เวห์มาถึงอับรามทางนิมิตว่า “อับรามเอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเลย เราเป็นโล่ของเจ้า บำเหน็จของเจ้าจะมากมายนัก”
ความจริงคือ พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าอย่ากลัวเลย” ปรากฏเป็นครั้งแรกที่นี่ พระยาห์เวห์ทรงตรัสว่า เจ้าอย่ากลัวเลยกับอับราม จำครั้งแรกที่มนุษย์กลัวได้มั้ยครับ ปรากฏครั้งแรกในปฐมกาล บทที่ 3 อาดัมปฏิเสธพระเจ้า
อับรามกำลังกลัว กำลังวิตกกังวล เรื่องอะไรอยู่ ? แม้คนที่มีความเชื่อ ก็สามารถหวั่นไหวได้
พระคัมภีร์เริ่มต้นว่า “ภายหลังสิ่งเหล่านี้” หมายถึง เหตุการณ์ในบทที่ 14 ก่อนหน้านี้
เกิดอะไรขึ้นในบทที่ 14
ทำไมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบทที่ 14 ทำให้อับรามหวั่นไหว กลัว ?
บทที่ 14 เป็นการช่วยกู้ชีวิตของโลทและครอบครัว หลังจากที่โลทตกอยู่ระหว่างการต่อสู้ของบรรดากษัตริย์ในเวลานั้น โลท ตกกระไดพลอยโจนไปด้วย เพราะดันอยู่ในเมืองโสโดม ตกอยู่ระหว่างสนามรบทั้งกษัตริย์ทั้งสองกลุ่ม ในที่สุด โลทและครอบครัวก็ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยสงคราม เมื่ออับรามทราบข่าวเข้า ด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของโลทและครอบครัว อับรามรวบรวมคนของท่านจำนวน 318 คน ออกเดินทางติดตาม และ ลอบทำการรบกับกษัตริย์ทั้งสี่ จนสามารถได้รับชัยชนะ และนำโลท และครอบครัว และทรัพย์สินกลับมาได้สำเร็จ แม้จะมีชัยชนะและช่วยชีวิตโลทได้แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือ โลท ก็ไม่ได้กลับมาอยู่กับท่าน ยังคงเลือกที่จะกลับไปอยู่ในเมืองโสโดม เหมือนเดิม อีกทั้งทรัพย์สมบัติที่ยึดกลับมาได้ อับรามก็มอบคืนให้กับกษัตริย์เมืองโสโดม
เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้ว อับราม คงมีความกลัวอยู่อย่างน้อยสองประการ ความกลัวที่ทำให้ ความเชื่อในการทรงเรียกพระเจ้าในชีวิตของท่านหวั่นไหว กว่า สิบปีมานี่ ที่เร่ร่อนในคานาอัน ท่านอายุมากแล้ว โลทก็ยังคงเลือกที่จะไม่อยู่กับท่าน ทั้งที่ท่านออกมากับโลท และพึ่งช่วยโลทจากการเป็นเชลยสงคราม อับรามคงฝากความหวังทั้งหมดเกี่ยวกับพงศ์พันธ์ในอนาคตของท่าน และความมั่นคงของท่านกับโลท หลานของท่าน เพราะท่านทราบดีว่านางซารายเป็นหมัน
อีกประการหนึ่งคือ หากกษัตริย์เหล่านั้นกลับมาเอาคืน กลับมาแก้แค้น ท่านคงไม่ปลอดภัย เพราะพวกนั้นมีกำลังที่มากกว่า และ กษัตริย์เมืองโสโดม ท่านก็ปฏิเสธไม่รับทรัพย์สินต่างๆจากโสโดม เมืองคนบาป เพราะท่านบอกว่าไม่ต้องการให้คนพูดกันว่า อับรามมั่งคั่งจากทรัพย์สินของเมืองโสโดม เป็นการปฏิเสธการเป็นพันธมิตรกับโสโดม ก็ยิ่งไม่มีคนปกป้องท่าน อับรามต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ความตึงเครียดท่ามกลางภัยสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ขาดเสถียรภาพและไม่ปลอดภัย
อับราม อาจกำลังคิดว่า ไหนละ พระสัญญาของพระเจ้า ที่สัญญาไว้ อยู่ที่ไหน เขาคงต้องตายอย่างโดดเดี่ยวในถิ่นทุรกันดารนี้แน่นอน ??? อับรามหวั่นไหว เมื่ออับรามมองไปข้างหน้า มองไปในอนาคต ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่ท่านเผชิญอยู่ หลายต่อหลายครั้งครับ เมื่อเราคิดถึงอนาคต เราก็จะมีแนวโน้มที่จะกลัวและวิตกกังวล เพราะเรารู้ว่า ปัจจุบันขณะนี้เราไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
พี่น้องครับ หลายครั้งเราก็เป็นเหมือนกับ อับรามครับ แม้เราจะเป็นผู้เชื่อ รับเชื่อในพระคริสต์ และเชื่อในพระสัญญาของพระองค์ พระเยซูทรงตรัสว่า พระองค์เสด็จมา เพื่อที่เราจะมีชีวิตและ มีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ (ยอห์น 10:10) “...เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์”
ไหนล่ะ ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ที่พระเยซูสัญญาไว้ สถานการณ์ในชีวิตของเราเป็นอย่างไรบ้างครับ
เมื่อเรามองไปในอนาคตข้างหน้า เรากำลัง กลัว ขาดความมั่นคง เหมือนอับรามในปฐมกาล 15 มั้ยครับ
บางคนที่เลี้ยงลูกคนเดียว อาจกำลังกลัว วิตกกังวลว่าเราจะดูแลลูกตามลำพังได้อย่างไร ? มันยากมากที่จะต้องทำงานไปด้วยและเลี้ยงดูลูกไปด้วยตามลำพัง
บางครอบครัว อาจกำลังเผชิญแรงกดดันทางด้านการเงินในครอบครัว ลูกยังเล็กอยู่ ต้องเรียนหนังสือ ยิ่งภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ บางคนอาจกำลังจะตกงานในอนาคตอันใกล้นี้ ความมั่นคงที่เคยยึดไว้กำลังจะหายไป
บางคนอาจกำลังเผชิญกับโรคร้าย ข่าวร้ายจากผลการตรวจร่างกายสมาชิกในครอบครัว กลัวจะสูญเสียคนที่เรารัก คนๆนั้นที่เป็นความมั่นคงของเรา เหมือนอับรามที่สูญเสียโลทไปจากภัยสงคราม
บางคนอาจจะกลัวติดโควิด ติดแล้วไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร กลัวต้องย้ายออกจากบ้าน ห่างจากคนที่บ้าน กลัวจะรักษาไม่หาย กลัวต้องไปอยู่โรงพยาบาลสนาม กลัวโดดเดี่ยวต้องแยกจากที่บ้าน กลัวไปหมด
ในข้อที่ 1 พระยาห์เวห์ ตรัสกับอับรามว่า “อับรามเอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเลย เราเป็นโล่ของเจ้า บำเหน็จของเจ้าจะมากมายนัก” ทรงเรียกอับราม ด้วยความรัก ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และด้วยความห่วงใย เหมือนอย่างเสียงที่พระเยซูทรงตรัสกับคนเหล่านั้นที่พระเยซูทรงรักษาโรค “อับรามเอ๋ย” ไม่ต้องกลัวภัยสงคราม ความไม่มั่นคงปลอดภัยในภูมิภาคที่อับรามอาศัยอยู่ เพราะ พระเจ้าจะเป็นโล่ปกป้อง ไม่ต้องกลัวเรื่องทรัพย์สินที่อับรามปฏิเสธไม่รับจากกษัตริย์เมืองโสโดม เพราะจะทรงประทานบำเหน็จให้อย่างมากมาย
วันนี้ไม่ว่า เราจะกลัว วิตกกังวลอย่างไร พระคำพระเจ้าในเช้า / บ่าย วันนี้ มาตรัสกับพี่น้องท่านนั้นนะครับ ให้เราใส่ชื่อของเรา เข้าไปสิครับ “หนุ่มเอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเลย”
ใครที่กลัวตกงาน พระเจ้าตรัสว่า เราจะประทานการเลี้ยงดูให้กับเจ้า
ใครที่กลัวโรคร้าย สูญเสียคนที่เรารัก พระเจ้าตรัสว่า เราจะประทานการรักษา เราจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน
ใครที่กลัวอนาคต ในความโดดเดี่ยว เหมือนอย่างอับราม อาจจะเป็นลูก หรือ สามี หรือภรรยา พระเจ้าตรัสว่า เราจะประทานครอบครัวให้กับเจ้า เราเองจะเป็นความมั่นคงให้กับเจ้า
พี่น้องที่รักครับ ใส่ชื่อของเราเข้าไปสิครับ เอามือมาวางไว้ที่หน้าอกของเรา “หนุ่มเอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเลย” อาเมนขอบคุณพระเจ้า
กลับมาที่พระคำพระเจ้าในปฐมกาล 15 โครงสร้างสวยงามมากครับ หลังจากพระเจ้าทรงตรัสกับอับรามว่าเจ้าอย่ากลัวเลย
พี่น้องที่รักหัวใจของปฐมกาล 15 อยู่ในข้อที่ 6 ครับ
“6อับรามก็เชื่อพระยาห์เวห์ ความเชื่อนั้นพระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน”
ส่วนบนและส่วนล่างจากข้อ 6 เป็นบทสนทนา สองส่วน ระหว่างพระยาห์เวห์ กับอับราฮัม โดยมี ข้อที่6 อยู่ตรงกลาง เป็นใจความสำคัญที่พระเจ้าต้องการสื่อกับเรา จึงไม่ต้องแปลกใจที่ว่า ข้อ 6 นี้ถูกอ้างอิงถึงสามครั้งในพันธสัญญาใหม่ โดยอัครทูตเปาโล และ ยากอบ ใน โรม 4, กาลาเทีย 3 และยากอบ 2 เกี่ยวกับ “ความเชื่อ”
ความเชื่อเป็นเหมือนกับ แกนกลางที่สำคัญ เป็นหัวใจ ที่พระเจ้าพอพระทัย และเป็นความชอบธรรมแก่ผู้ที่เชื่อวางใจในพระสัญญาของพระยาห์เวห์
บทสนทนาตอนบน พูดเกี่ยวกับ ทายาทของอับราฮัม พระเจ้าสัญญาว่าผ่านอับราฮัม ท่านจะเป็นชนชาติใหญ่ พระเจ้าจัดการกับความหวั่นไหวในความเชื่อของอับราม ในหัวข้อที่เกี่ยวกับ ลูกของเขา
บทสนทนาตอนล่าง พูดเกี่ยวกับ แผ่นดินตามพระสัญญา พระเจ้าสัญญาจะประทานแผ่นดินให้กับเขา
และในแต่ละบทสนทนา จะเริ่มต้นด้วย พระสัญญา ตามมาด้วย คำถามจากอับรามเกี่ยวกับพระสัญญานั้น และ จบลงด้วย หมายสำคัญที่พระเจ้าประทานให้แก่อับรามตามพระสัญญานั้น
เริ่มต้นด้วย พระสัญญาจากพระเจ้า ตามมาด้วย คำถาม/ ข้อสงสัยจากอับรามเกี่ยวกับพระสัญญานั้น และ จบลงด้วยหมายสำคัญที่พระเจ้าประทานให้แก่อับราม เพื่อยืนยันพระสัญญาให้อับราม มั่นใจในความเชื่อตามพระสัญญา
เรามาดูบทสนทนาแรกนะครับ เกี่ยวกับลูกของอับราม
เริ่มต้นด้วย พระเจ้าตรัสกับอับรามใน ข้อ 1 “...เราเป็นโล่ของเจ้า บำเหน็จของเจ้าจะมากมายนัก”
อับราม ตอบพระเจ้าด้วยคำถามเชิงตัดพ้อกับพระเจ้า ในข้อ ที่ 2-3 “2อับรามทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย พระองค์จะทรงให้อะไรแก่ข้าพระองค์? ด้วยว่าข้าพระองค์ยังไม่มีบุตรเลย และเอลีเอเซอร์ชาวเมืองดามัสกัสคนนี้ จะเป็นทายาทของข้าพระองค์” 3อับรามทูลอีกว่า “ขอพระองค์ทรงดู พระองค์ไม่ได้ทรงให้บุตรแก่ข้าพระองค์ แล้วขอทรงดู คนที่เกิดในบ้านของข้าพระองค์ก็จะเป็นผู้รับมรดกของข้าพระองค์”
ในเมื่อโลทก็แยกออกไปแล้ว ก็เหลือเพียงแต่ คนรับใช้ที่อับรามเลี้ยงเหมือนลูก คือ เอลีเอเซอร์ชาวเมืองดามัสกัส แล้วอับรามพูดกับพระเจ้าในเชิงตัดพ้อว่า จะให้บำเหน็จมากมายอะไรกับฉัน อับรามพูดกับพระเจ้าในนิมิตว่า “ขอพระองค์ทรงดู พระองค์ไม่ได้ทรงให้บุตรแก่ข้าพระองค์” เพราะได้มาแล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหมดก็ต้องตกเป็นของ เอลีเอเซอร์ คนรับใช้ของท่าน พี่น้องจับ ความรู้สึกของอับราม ระหว่างบรรทัดได้มั้ยครับ
พระสัญญา – ตามด้วยคำถามเชิงตัดพ้อ – พระเจ้าประทานหมายสำคัญครับ พบในข้อ 4-5
“4เวลานั้นพระดำรัสของพระยาห์เวห์มาถึงอับรามว่า “คนนี้จะไม่ได้เป็นผู้รับมรดกของเจ้า แต่บุตรชายที่เกิดจากเจ้าจะเป็นผู้รับมรดกของเจ้า” 5พระองค์จึงพาอับรามออกมาข้างนอกแล้วตรัสว่า “มองดูฟ้าสิ ถ้าเจ้าสามารถนับดาวทั้งหลายได้ ก็นับไป” แล้วพระองค์ตรัสกับท่านว่า “เชื้อสายของเจ้าจะเป็นเช่นนั้น”
หมายสำคัญที่ช่วยยืนยันพระสัญญาเรื่องลูก ทายาทของอับรามคือ พระเจ้าพาอับรามออกมาดูท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่มืดสนิท ให้นับดาวทั้งหลาย เชื้อสายของอับรามจะมากมายดุจดวงดาวบนท้องฟ้า ว้าว !!!
พี่น้องครับ หนึ่งในดวงดาวบนท้องฟ้า มีดาวอยู่ดวงหนึ่ง ในวิวรณ์ 22:16 บทสุดท้ายในพระคัมภีร์ครับ ท้ายเล่มของพระคัมภีร์ ในขณะที่อับรามอยู่เล่มแรกในพระคัมภีร์ สวยงามมั้ยครับ
16“เราคือเยซูผู้ใช้ทูตสวรรค์ของเราไปเป็นพยานถึงสิ่งเหล่านี้ต่อท่านเพื่อคริสตจักรทั้งหลาย เราเป็นรากเหง้าและเชื้อสายของดาวิด และเป็นดาวประจำรุ่งอันสุกใส”
ค่ำคืนนั้นที่อับรามนับดวงดาวบนท้องฟ้า น่าจะมีดาวประจำรุ่งอันสุกใสอยู่ด้วยครับ พระเยซู พระเมสสิยาห์ ผู้ทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด และแน่นอนครับ กษัตริย์ดาวิด ชนชาติอิสราเอล พงศ์พันธุ์จากอับราฮัม ชราคนนี้ที่พระเจ้าพาออกมานับดวงดาวในค่ำคืนที่เค้าหวั่นไหวในความเชื่อ
และก็ตามมาด้วยหัวใจ ของปฐมกาลบทที่ 15 ครับ ในข้อที่ 6
“6อับรามก็เชื่อพระยาห์เวห์ ความเชื่อนั้นพระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน”
บทสนทนาแรก พระสัญญา จะทรงประทานลูกที่เป็นเลือดเนื้อของอับรามโดยตรง คำถามเชิงตัดพ้อจากอับราม และ หมายสำคัญที่พระเจ้าประทาน คือ เชื้อสายของอับรามจะมากมายดุจดวงดาวบนท้องฟ้า
กิจการ 2:39 ส่วนหนึ่งในคำเทศนาของเปโตร ในวันเพนเตคอสต์ วันเกิดของคริสตจักร “39เพราะว่าพระสัญญานั้นตกแก่ท่านทั้งหลายกับลูกหลานของพวกท่านด้วย และแก่ทุกคนที่อยู่ไกล คือทุกคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเรียกให้มาเฝ้า”
มาดู บทสนทนาที่สองนะครับ เกี่ยวกับพระสัญญาเรื่องแผ่นดิน บทสนทนาที่ประกบอยู่ตอนท้ายครับ
เริ่มจากพระสัญญาครับ ในข้อ 7 ครับ
“7แล้วพระองค์ตรัสแก่อับรามว่า “เราคือยาห์เวห์ผู้พาเจ้าออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดีย เพื่อจะยกดินแดนนี้ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า”
ตามมาด้วย คำถามจากอับราม ครับ ข้อ 8
“8อับรามทูลว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้านาย ข้าพระองค์จะทราบได้อย่างไรว่า จะได้ดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์?”
จบท้ายด้วยหมายสำคัญครับ ข้อ 9-10, 17-2
“9พระองค์จึงตรัสแก่อับรามว่า “เอาลูกโคตัวเมียอายุสามปี แพะตัวเมียอายุสามปีและแกะตัวผู้อายุสามปี นกเขาตัวหนึ่งกับนกพิราบตัวหนึ่งมาให้เรา” 10อับรามจึงนำสัตว์ทั้งหมดเหล่านี้มาถวาย และผ่าครึ่งวางข้างละซีกตรงกัน แต่ไม่ได้ผ่าครึ่งนก”
และ ข้อที่ 17-21 ครับ
“17เมื่อดวงอาทิตย์ตกและมืดมิดก็มีเตาที่ควันพลุ่งอยู่ และคบเพลิงเลื่อนลอยมาระหว่างกลางซีกสัตว์เหล่านั้น 18ในวันนั้นพระยาห์เวห์ทรงทำพันธสัญญากับอับรามว่า “เรามอบดินแดนนี้ให้เชื้อสายของเจ้าแล้ว ตั้งแต่แม่น้ำอียิปต์ไปถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส 19ทั้งแผ่นดินคนเคไนต์ คนเคนัส และคนขัดโมไนต์ 20กับคนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนเรฟาอิม 21คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเกอร์กาชีและคนเยบุสด้วย”
ข้อที่ 8 เมื่ออับรามถามถึงแผ่นดินที่พระเจ้าจะประทานให้ พระเจ้าบอกอับรามว่า ให้เรามาทำหนังสือสัญญากันเลย พิธีกรรมที่มีการผ่าตัดครึ่งซีก แล้วคู่สัญญาเดินผ่านระหว่างสัตว์ที่ถูกผ่าครึ่งซีก คือ การเซ็นต์ชื่อในหนังสือสัญญาในยุคปัจจุบัน คนสมัยนั้น ในแถบปาเลสไตน์เค้าใช้พิธีกรรมนี้ในการตกลงสัญญากัน และถ้าใครไม่ทำตามคำพูดที่ตกลงไว้ ก็ให้มีอันเป็นไปเหมือนกับสัตว์ที่ถูกผ่าครึ่งซีกนั้น
พระเจ้าบอกกับอับรามที่สงสัยในความเป็นไปได้อย่างไร จะได้แผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ พระเจ้าบอกกับอับรามว่า งั้นเราจะทำหนังสือสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรให้เจ้าเลย แต่หนังสือสัญญาฉบับนี้ ผูกพันพระเจ้าเพียงคนเดียวครับ พระเจ้าเซ็นชื่อคนเดียว อับรามไม่ต้อง
พระคัมภีร์บันทึกว่า อับรามเตรียมผ่าสัตว์ครึ่งซีกนั้นทั้งวัน ทั้งโค ทั้งแพะ ทั้งแกะ และรอพระเจ้าจนมืดค่ำพระเจ้าก็ยังไม่มา พระเจ้ารอจนมืดค่ำจนอับรามล้า พระองค์ทรงให้อับรามหลับสนิท และทรงเสด็จลงมาเซ็นต์ชื่อในหนังสือสัญญาคนเดียว อับรามไม่ต้องทำอะไร พระเจ้าจะทำเอง สัญญาที่ไม่มีเงื่อนไขผูกมัดกับอับรามใดๆ ทั้งสิ้น
“17เมื่อดวงอาทิตย์ตกและมืดมิดก็มีเตาที่ควันพลุ่งอยู่ และคบเพลิงเลื่อนลอยมาระหว่างกลางซีกสัตว์เหล่านั้น 18ในวันนั้นพระยาห์เวห์ทรงทำพันธสัญญากับอับรามว่า “เรามอบดินแดนนี้ให้เชื้อสายของเจ้าแล้ว ตั้งแต่แม่น้ำอียิปต์ไปถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส 19ทั้งแผ่นดินคนเคไนต์ คนเคนัส และคนขัดโมไนต์ 20กับคนฮิตไทต์ คนเปริสซี คนเรฟาอิม 21คนอาโมไรต์ คนคานาอัน คนเกอร์กาชีและคนเยบุสด้วย”
พี่น้องครับ อัครทูตเปาโลใน โรม 4:13
“13เพราะว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและลูกหลานของท่านที่ว่า จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้นไม่ได้มาโดยธรรมบัญญัติ แต่มาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ”
พี่น้องครับ ความจริงแห่งพันธสัญญาที่ทรงทำกับอับรามนั้น ไม่ใช่แค่ทั้งแต่ลุ่มน้ำอียิปต์ จึงถึงแม่น้ำยูเฟรติส นะครับ แต่คือ หมดแผ่นดินโลกครับ
พี่น้องครับ กลับมาที่ หัวใจในตอนนี้คือ
“6อับรามก็เชื่อพระยาห์เวห์ ความเชื่อนั้นพระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน”
ส่วนบนและส่วนล่างจากข้อ 6 เป็นบทสนทนา สองส่วน ระหว่างพระยาห์เวห์ กับอับราฮัม โดยมี ข้อที่6 อยู่ตรงกลาง เป็นใจความสำคัญที่พระเจ้าต้องการสื่อกับเรา จึงไม่ต้องแปลกใจที่ว่า ข้อ 6 นี้ถูกอ้างอิงถึงสามครั้งในพันธสัญญาใหม่ โดยอัครทูตเปาโล และ ยากอบ ใน โรม 4, กาลาเทีย 3 และยากอบ 2 เกี่ยวกับ “ความเชื่อ”
ในโรม 4 เพราะเหตุแห่งความเชื่อ อับราม ถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรม ไม่ใช่ด้วยการกระทำ แต่เป็นพระคุณพระเจ้าที่พบแล้วในพระเยซูคริสต์
ในกาลาเทีย 3:5-7 เพราะเหตุแห่งความเชื่อ อับราฮัม เราจึงมีเสรีภาพ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นอิสระจากธรรมบัญญัติทั้งสิ้น
และในยากอบ 2 ความเชื่อที่แท้จริง จะสำแดงออกเป็นการกระทำ เป็นความเชื่อที่มีชีวิต เพราะหากปราศจากการกระทำ ความเชื่อนั้นก็เป็นความเชื่อที่ตายแล้ว
อาเมนนะครับ ให้เรามีความเชื่อแบบอับราฮัมครับ วันนี้ผ่านทางความเชื่อในพระคริสต์ เราเข้าส่วนรับพระพรร่วมกับอับราฮัม ผ่านทางความเชื่อ เราถูกนับเข้าเป็นเชื้อสายของอับราฮัมผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นอิสราเอลแท้ ขอบคุณพระเจ้า ให้เราร่วมใจกันอธิษฐาน